17 ก.ค. 2563 - ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์รูปภาพ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โค้งหัวคำนับยกย่อง นายภานุพงศ์ จาดนอก และนายณัฐชนน พยัฆพันธ์ แกนนำเยาวชนภาคตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย ที่ชูป้ายข้อความว่า
“การ์ดอย่าตกพ่องง”
และ “อยู่ต่อไปก็ฉิบหาย ออกไปไอ้สัส”
รอรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระหว่างลงพื้นที่จังหวัดระยอง เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ดร.ศุภณัฐ ได้นำโพสต์ของนายธนาธรซึ่งโพสต์ไว้ครั้งเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ มาเผยแพร่ในสเตตัสนี้ด้วย โดยโพสต์ของนายธนาธร มีเนื้อหาระบุว่า
“เราพยายามที่จะสร้างวัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่ การเมืองที่เมื่อเราทำผิด เราจะกล่าวคำขอโทษ
ในนามหัวหน้าพรรค ผมขอโทษแทนอดีตผู้สมัครของเราที่ทวีตข้อความ ไม่เหมาะสม และขอเตือนใจเพื่อนชาวอนาคตใหม่ทุกคนด้วยความรัก อย่าชื่นชมกันเอง
จนเกินงาม ระมัดระวัง อย่ายกตนเหนือคนอื่น และอย่าหยาบคายต่อผู้ใดแม้เขาจะเห็นไม่ตรงกับเราก็ตาม การเมืองอย่างสร้างสรรค์เริ่มที่ตัวเราครับ”
โพสต์ของดร.ศุภณัฐ ยังประกอบด้วยคลิปนายธนาธร ที่เคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวแห่งหนึ่ง ว่า
“ต้องไม่ใช้คำหยาบคาย ไม่ใช้วาจาที่ทำให้คนเกลียดชังไปมากกว่านี้”
ดร.ศุภณัฐ โพสต์ว่า
วันก่อน: “อย่าหยาบคายต่อผู้ใดแม้เขาจะเห็นไม่ตรงกับเราก็ตาม”
ตอนนี้: ขอคารวะสองผู้ใช้คำหยาบคาย #ผมจำไม่ได้ #เด็กเลี้ยงแกะอายุ41ขวบ #คณะก้าวหน้านักโหนเกรียนปลุกม็อบ
ต่อมาในวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 ที่อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มสหภาพนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย หรือสนท. และเยาวชนในนามกลุ่มเยาวชนปลดแอก Free YOUTH นัดรวมตัวจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ในรูปแบบแฟลชม็อบ เพื่อแสดงออกแนวคิดทางการเมือง ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในประเด็นที่ว่า ตนเองจะเดินทางไปร่วมให้กำลังใจหรือไม่นั้น อยากบอกว่าขนาดตัวเองไม่ได้ไปเข้าร่วมกิจกรรมก็ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่ชักใยและสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งนักศึกษากลุ่มนี้ทำกิจกรรมไปด้วยเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ของพวกเขา
“พวกเราไม่ได้มีส่วนเข้าไปร่วมในการตัดสินใจจึงจะไม่ได้ไปยังสถานที่การจัดชุมนุม เพราะเกรงจะถูกข้อกล่าวหาว่าทำการชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่ขอส่งกำลังใจให้กลุ่มนักศึกษาและประชาชนทุกหมู่เหล่าที่ต้องการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยให้กลับคืนสู่ประเทศไทย ขอให้กำลังใจทุกคนในการต่อสู้กับเผด็จการและอยากเชิญประชาชนทุกคนที่ได้ยินเสียงของผมให้สนับสนุนนักศึกษากลุ่มนี้ด้วย ให้ช่วยกันไปร่วมชุมนุมในครั้งนี้ เพื่อแสดงเสียงของประชาชนว่า เราไม่ต้องการรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจ ไม่ต้องการรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร และเราต้องการให้ประเทศเดินกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตย” นายธนาธร กล่าว
เมื่อถามถึงการแสดงออกของประชาชนซึ่งชูป้ายขับไล่นายกรัฐมนตรีที่จังหวัดระยองนั้น นายธนาธรกล่าวว่าการแสดงออกและการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมาย เป็นสิ่งที่ชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในหลายประเทศเมื่อเกิดการไม่พอใจผู้นำ ก็มีการแสดงออกในลักษณะที่รุนแรงมากกว่านี้ จึงมองว่าไม่ใช่เรื่องของการใช้คำหยาบหรือไม่ใช้คำหยาบ แต่เป็นการแสดงออกถึงความกล้าหาญที่จะท้าทายกับอำนาจที่ไม่เป็นธรรม
โดยในเวลานี้ผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลก็ถูกคุกคาม ถูกยัดข้อหาทางคดี ซึ่งเป็นสิ่งที่คนธรรมดาหวาดกลัว เราจึงจำเป็นต้องปกป้องกันและกัน และขอบคุณคนที่กล้าหาญที่ออกมาพูดในสิ่งที่คนทั่วไปไม่กล้าพูด
“เขาพูดแทนคนส่วนใหญ่ของประเทศ เราจึงจำเป็นต้องขอบคุณ โดยในวันที่ทั้งสองคนเดินทางไปที่รัฐสภาเพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎรนั้น ผมเองได้มีโอกาสพบกับทั้งสองคนขณะที่เดินออกจากเข้าประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 เพื่อไปเข้าห้องน้ำ จึงได้ทักทายกัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ขอยืนยันว่า ทั้งสองคนทำไปด้วยเจตจำนงที่แน่วแน่ของพวกเขาเอง เราไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจใดๆ” นายธนาธร กล่าว
ก่อนหน้านี้ นายชำนาญ จันทร์เรือง อดีตรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะสมาชิกคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว Chamnan Chanruang ระบุข้อความว่า
ไอ้สัส ไม่ใช่คำหยาบ
เพราะคำว่า “ไอ้สัส” คำนี้มันเป็นคำที่แปลงมาจากภาษาอังกฤษ
ถ้าแยกแต่ละตัวแล้ว จะเป็นดังนี้
“ไอ้” มาจาก You = คุณ
“สัส” มาจาก suspicious = น่าระแวงหรือน่าสงสัย
รวมกัน ไอ้สัส = You are a suspicious person.(คุณเป็นคนที่น่าระแวงหรือน่าสงสัย)
ถ้าขยายความแล้ว ก็คือว่า 6 ปีแล้ว สงสัยว่าพวกคุณทำอะไรกันอยู่ ไม่ปฏิรูป ไม่รักษาสัญญาแล้วเหรอ ไม่ตรวจสอบคนโกงแล้วเหรอ ฯลฯ “ไอ้สัส” น่ะครับ
เอาละครับ เรามาลองวิเคราะห์เกมการเมืองของ “ไอ้สัส” (คนที่น่าระแวงสงสัย) พวกนี้กันเถอะ
1) การถกเถียงเรื่อง “คำหยาบ” บนป้าย จะบอกว่ามีสาระก็ได้ ไร้สาระก็ได้ เพราะเอาอะไรครับ เอามุมไร้สาระก่อน ทุกม็อบ ทุกกลุ่มสีเสื้อ ทุกคณะ ใช้คำหยาบกันมาก่อนทั้งนั้นแหละครับ ไปขุดภาพเก่ามาประชันกันได้เลย เจอหมดละครับ ไม่ได้มีใครดีไปกว่าใครเลย ถ้าจะมองกันแบบเหมาๆ
2) แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า พรรคอนาคตใหม่ เคยวางจุดยืน/จุดขาย ของตัวเอง ว่าจะ “ทำการเมืองแบบใหม่” เป็นการเมืองสร้างสรรค์ เหมือนที่ ดร.นิว แกไปยกตัวอย่างข้อความของนายธนาธรมาย้อนเกล็ดนั่นแหละครับ ดังนั้น ด้วยสภาพของการเคยโอ่มาก่อนว่า ตัวเองจะทำการเมืองที่ “คุณภาพดีกว่า” แล้วปรากฏว่ามันไม่ใช่ มันก็ “เสียหมา/เสียคน” ไป จากกรณีนี้ได้อย่างที่เห็นๆ กัน
3) คำหยาบ เป็นเครื่องมือของ “อารมณ์รุนแรง” ประการหนึ่ง คนที่ปกติดี ไม่ใช้หรอกครับ คำหยาบน่ะ มันจะเกิดกับคนที่กำลังต่อสู้ และใช้คำหยาบเป็น “อาวุธ” หรือเป็น “การเยียวยาจิตใจตัวเอง” ชนิดหนึ่ง กดคนอื่นให้ต่ำ เลว สัตว์เดรัจฉานเสียก่อน เพื่อให้ตัวเองสูง ดี ประเสริฐ ดังนั้น ทุกๆ การถกเถียงในภาวะที่ใช้ “อารมณ์” ออกนำ คำหยาบมักจะมาเสมอ เพราะต้องการให้มันเสียดแทง บาดลึก โดยไม่ได้นึกหรอกว่า อีกด้านหนึ่ง มันก็ “ประจาน” ตัวเองด้วย
4) ผมไม่คิดว่าการใช้คำหยาบเป็นความกล้าหาญ จึงไม่คิดจะคารวะใดๆ เจ้าหนุ่ม 2 คนนี้ แต่ผมเชื่อในสิ่งที่คล้ายกันว่า มันตั้งอยู่บนรากฐานของ “เสรีภาพ” ในการแสดงออก แตกต่างกันตรงที่ เสรีภาพนั้นมี “ขอบเขต” และ “ความรับผิดชบอ” ด้วย
5) ลองคิดดูว่า ถ้ามีใครถือป้ายด้วยถ้อยคำแบบนี้รอเจอนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ลิ่วล้อและทีมล่วงหน้าของนายธนาธรจะยอมให้เจอไหมครับ ก็ลองไปดูเหตุการณ์สมัย “ผู้กองปูเค็ม” ตามไปถือป้ายทุกที่ที่มีธนาธรดูสิครับ
6) ดังนั้น การอธิบายของนายธนาธรที่ว่า “ไม่ใช่เรื่องของการใช้คำหยาบหรือไม่ใช้คำหยาบ แต่เป็นการแสดงออกถึงความกล้าหาญที่จะท้าทายกับอำนาจที่
ไม่เป็นธรรม” มันจะใช้ได้เมื่อใช้กับคนอื่น ไม่ใช่ตัวเขาครับ
7) หลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจึง “เปิดเผยและเปิดโปง” ว่านายธนาธร ไม่ใช่นักการเมืองที่มี “มาตรฐาน” อะไรจริงๆ จังๆ เลย เสมอและเสมือนนักการเมืองเก่าๆ ทั้งปวง ไม่ได้มุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะสร้าง “มาตรฐานที่สูงกว่า” ให้เป็นที่ประจักษ์แต่อย่างใด
8) ที่จริง ถ้าจะสนับสนุน 2 คนนั้นให้เคลื่อนไหวทางการเมืองให้มีประสิทธิภาพ มีมากมายหลายประเด็นเลยครับที่ต้องสอนเขา เช่น วันที่ระยองนั้น คุณต้องการอะไร ถ้าต้องการพบนายกฯ เพื่อเรียกร้องให้รับผิดชอบและเยียวยา ป้ายที่จะถือ เรามีคำอื่นๆ ที่ไม่ใช่คำที่เรานำมาใช้นั้นไหม เพื่อให้ “บรรลุวัตถุประสงค์” ของการได้พบ ได้เสนอปัญหาได้เรียกร้องความรับผิดชอบ โดยเฉพาะช่องทางหนึ่งซึ่งสำคัญมาก นั่นคือ ช่องทางตามกฎหมาย
9) นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค มีเนื้อหาว่า ตามมาตรา 17 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 คุ้มครองเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการกระทำความผิดกฎหมายหากเป็นการกระทำที่สุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีจำเป็น แต่ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมาย ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
การที่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบไม่ควบคุมดูแลปล่อยให้ทหารที่มาจากประเทศอียิปต์ออกมาเพ่นพ่านแพร่เชื้อโควิด-19 ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกยกเลิกการจองห้องพักและธุรกรรมทางธุรกิจนั้น ประชาชนหรือผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายย่อมมีสิทธิจะฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากหน่วยงานของรัฐที่ทำละเมิดทำให้เกิดความเสียหายได้ ตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
เนื่องจากเป็นคดีปกครองกฎหมายห้ามฟ้องเจ้าหน้าที่เป็นการส่วนตัวจึงต้องฟ้องหน่วยงานที่ศาลปกครอง โดยหน่วยงานที่จะต้องรับผิดชอบคือกระทรวงการต่างประเทศ กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ จึงขอเชิญทัวร์ลงที่หน่วยงานเหล่านี้ได้ตามสะดวก
10) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊คเรื่อง “ฟ้องรัฐบาลได้หรือไม่” มีเนื้อหาว่า
“...มีคนถามเยอะว่า ถ้ารัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้ประชาชนเสียหายฟ้องรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ได้หรือไม่ ตอบตามหลักได้ดังนี้
1.หน้าที่ของรัฐ(หรือรวมถึงรัฐบาล) คือ การป้องกันความเสียหายที่ “อาจคาดการณ์ได้” นี่เป็นทฤษฎีทางการเมืองในบทที่ว่าด้วยหน้าที่ของรัฐ
2.การที่รัฐบาลประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คุ้มครองรัฐบาลกรณีที่ละเว้นการกระทำหรือกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้ประชาชนได้รับความเสียหายหรือไม่ ตอบว่าไม่คุ้มครอง เพราะรัฐทำต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่พึงกระทำ
3.การที่เจ้าหน้าที่ปล่อยให้ชาวต่างชาติการเดินทางเข้าประเทศ โดยไม่ผ่านการตรวจโรคและนำโรคมาติดคนไทย สามารถฟ้องได้หรือไม่ ตอบว่าฟ้องได้ ธุรกิจที่เสียหายจากเรื่องนี้ ก็ฟ้องได้ ถ้าความเสียหายนั้นเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของรัฐบาล หรือ กรณีที่คนที่รู้ว่าตัวเองติดโรคแล้วเอาเชื้อนั้นไปปล่อยให้คนอื่น จนคนอื่นติดโรคไปด้วย คนที่เป็นพาหะของโรคก็อาจมีความผิดอาญาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้
ผมไม่ได้แนะนำให้ใครฟ้องใคร แต่เป็นข้อกฎหมายและเป็นสิทธิที่ประชาชนควรรู้ หากประชาชน/ภาคธุรกิจ เขาเสียหายจากการนี้ รัฐบาลก็ควรใช้วิธีการเยียวยา
ผู้ได้รับผลกระทบ จากการละเว้น หรือ การกระทำโดยประมาทของรัฐบาล สุดท้าย ในระบอบประชาธิปไตยมีหลักว่า “ประเทศปกครองโดยกฎหมาย มิใช่ปกครองโดยรัฐบาล” นั่นหมายความว่า รัฐบาลก็ไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย
11) เราไม่เห็นคณะก้าวหน้า 2 คน ที่ถือป้าย รวมถึงอดีตผู้สมัคร สส.ของพรรคอนาคตใหม่ ที่มายื่นหนังสือร้องเรียน (ซึ่งเป็นผู้ประการอยู่ระยองจริงๆ ได้รับผลกระทบจริงๆ) ก็ไม่ได้ดำเนินการทางกฎหมาย กลับไปยื่นหนังสือและสัมภาษณ์เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก
ทั้งหมดมันจึงมีนัยว่า ไม่ได้ต้องการการแก้ปัญหาหรือมุ่งหาความรับผิดชอบของรัฐบาล เพียงแค่จะอาศัยสถานการณ์สร้าง “ม็อบ” ไม่ว่าจะผลิตเองหรือผลิตโดยแนวร่วมก็เท่านั้นแหละ
แล้วเดี๋ยวพอม็อบถูกเอาผิด ฐานขัด พ.ร.บ.โรคติดต่อ หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ตาม ก็ขยายผลได้อีก
นี่แหละครับ การเมืองแบบ “ไอ้สัส” !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี