เป็นอันว่ารัฐบาลได้ขยายการใช้กฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินไปอีกหนึ่งเดือน และถ้าโดยเหตุผลแห่งการขยายกฎหมายดังกล่าวเป็นอันใช้ได้แล้วก็เป็นอันว่าประเทศไทยคงจะต้องดำเนินไปภายใต้กฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ต่อไป แต่จะนานเท่าใดก็สุดแท้แต่คนมีอำนาจจะตัดสินใจ
หรือจะให้ประเทศไทยอยู่ในอำนาจของประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทำนองเดียวกันกับการใช้กฎหมายลักษณะเดียวกันนี้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ใช้
ต่อเนื่องมาร่วม 20 ปีแล้ว โดยการขยายอายุเป็นคราวๆ ไป
และนั่นก็หมายความว่าอำนาจของรัฐมนตรีทุกกระทรวงโอนมาเป็นของนายกรัฐมนตรี และศูนย์บริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน เว้นแต่จะมอบหมายงานบางประการแก่รัฐมนตรีนั้น ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้จะยืดยาวไปได้สักเท่าใดยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิด
เพราะขณะนี้การบริหารราชการแผ่นดินนั้นไม่อาจถือได้ว่าดำเนินไปตามปกติ เพราะรัฐมนตรีไม่สามารถใช้อำนาจได้ตามปกติต่อไปเว้นแต่จะได้รับมอบหมาย และในระดับกระทรวงก็มีการมอบหมายอำนาจแก่ปลัดกระทรวง ดังนั้น รัฐมนตรีจะทำการใดก็ต้องไปคุยกับปลัดกระทรวงซึ่งอิหลักอิเหลื่อไปหมด
ก็ถามใจตัวเองกันดูก็แล้วกันว่าสภาพเช่นนี้บรรดาพรรคการเมืองทั้งหลายและรัฐมนตรีทั้งหลายจะอยู่ดีมีสุขชื่นอกชื่นใจเหมือนสภาพการบริหารราชการยามปกติหรือไม่
ที่สำคัญคือเมื่ออำนาจมารวมอยู่ที่นายกรัฐมนตรีและศูนย์บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว การบริหารจัดการบ้านเมืองก็ควรต้องดำเนินไปในลักษณะที่ฉุกเฉินด้วย ถ้าหากว่าการงานแต่ละอย่างยังทำการกันแบบการบริหารราชการปกติหรือต้องมีคณะกรรมการหรือคณะทำงานมาบังหน้าไว้ในแต่ละเรื่องก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน
และอาจจะย่ำแย่กว่าการบริหารสถานการณ์ยามปกติที่รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงสามารถบัญชาการและมอบหมายนโยบายได้อย่างรวดเร็วโดยตรง
สภาพเช่นนี้ยืดเยื้อยาวนานไปเท่าใด คนที่ต้องรับภาระรับผิดชอบมากมายก็ไม่พ้นไปจากบ่านายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งกฎหมายก็ได้วางบทบัญญัติให้ต้องมีความรับผิดชอบ ทั้งความเสียหายที่ได้รับหรือกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งการปฏิบัติการใดๆ ที่ไม่เป็นไปโดยสุจริต เกินสมควร ไม่มีความจำเป็น หรือเลือกปฏิบัติก็ต้องรับผิดทางอาญาตามกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย จึงต้องคิดกันเสียตั้งแต่บัดนี้ว่าสักวันหนึ่งจะรับมือกับบรรดาสรรพคดีจากมากมายหลายทิศหลายทางไหวหรือไม่
ยามนี้ประเทศชาติเผชิญกับปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจที่ประดังหนักหน่วงรุนแรงที่สุด การใช้เงินงบประมาณกำลังจะไม่สามารถใช้เงินกู้ได้อีกต่อไป เพราะกำลังปริ่มหรือชนเพดานเงินกู้ที่จะใช้ได้แล้ว เพราะถ้าหากความเติบโตของเศรษฐกิจลดน้อยลงก็จะไม่มีทางกู้ยืมเงินมาใช้ตามกฎหมายงบประมาณได้อีก
การจัดเก็บรายได้ 8 เดือนภาษีของปีงบประมาณ 2563 ก็มีรายงานตัวเลขชัดเจนแล้วว่าขาดเป้าไปร่วม 200,000 ล้านบาท ซึ่งเกือบ 10% ของประมาณการรายได้
แผ่นดิน ซึ่งพอจะคาดหมายได้แล้วว่าตลอดปีงบประมาณ 2563 นั้น รายได้แผ่นดินคงจะขาดเป้าไปอีกมาก แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปใช้จ่าย
อันรายได้แผ่นดินนั้นจะไม่มีทางดีขึ้นได้เลยถ้าหากเศรษฐกิจของประเทศไม่ฟื้น และขณะนี้ก็มีการประมาณการอัตราการเติบโตแล้วว่าจะติดลบขึ้นไปถึงตัวเลขสองหลัก เบื้องต้นก็จะติดลบถึง 10.5 ซึ่งเป็นการติดลบสูงสุดในรอบระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้จึงเป็นภาระที่ท้าทายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่อย่างยิ่ง
เศรษฐกิจของประเทศไทยจะฟื้นได้ก็ต้องอาศัยกลไกเครื่องจักรสามเครื่อง คือ
เครื่องจักรแรก การส่งออก ซึ่งขณะนี้ติดลบยับเยินคือติดลบถึง 23% สูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าส่งออกไม่ได้ ซึ่งเป็นภารกิจที่ต้องแก้ไขโดยเร่งด่วนที่สุด โดยมืองานชั้นครูที่รอบรู้เรื่องการส่งออก เพราะถ้าส่งออกไม่ได้ก็ผลิตไม่ได้ เมื่อผลิตไม่ได้กิจการที่เกี่ยวข้องก็จะต้องปิดตัว ผู้คนก็จะต้องตกงานหรือว่างงานเพิ่ม และจะทำให้กิจการที่อยู่ในสายพานการผลิตทั้งหมดตกอยู่ในสภาพเดียวกันด้วย ชะตากรรมที่จะต้องปิดตัวเป็นลูกโซ่เกิดขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว
เครื่องจักรที่สอง คือภาคบริการท่องเที่ยว ซึ่งเกี่ยวข้องกับประชากรร่วม 20 ล้านคน เกี่ยวข้องกับภาคบริการทุกประเภทและกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับภาคบริการ ซึ่งต้องถือว่าเป็นสายพานการผลิตทางภาคบริการทั่วประเทศ มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และกิจการกำลังตกเป้าหมายที่จะกลายเป็นเหยื่อของนักลงทุนต่างชาติที่กำลังเข้ามากดราคาซื้อกิจการในราคาต่ำ
เครื่องจักรที่สาม คือการลงทุนทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงานและการหมุนเวียนของเงินลงทุนในประเทศตามขนาดของสติปัญญาของผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ ที่สำคัญต้องมีขีดความสามารถที่จะแข่งขันกับการต่อสู้เรื่องช่วงชิงการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในลำดับหลังมากขึ้นโดยลำดับและกำลังแพ้เวียดนามและประเทศอาเซียนอื่นชนิดหลุดลุ่ย
ถ้าเครื่องจักรทั้งสามเครื่องนี้ขับเคลื่อนเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศก็จะฟื้น ทุกภาคส่วนก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น รัฐบาลก็จะจัดเก็บภาษีเป็นรายได้เพิ่มขึ้น
การกู้เงินไปแจกนั้นไม่มีผลใดๆ ต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจแม้แต่น้อย นอกจากผู้คนในวงการอำนาจทางการเมืองที่จะฉกฉวยเอาไปแบ่งปันกันเท่านั้น และนั่นก็คือทางแห่งหายนะของชาติบ้านเมือง!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี