“เรื่องนายบอส นายกฯคงต้องยอมโดนด่าว่า “แทรกแซง” แล้วล่ะคะ ถ้าลอยตัวประชาชนจะหมดศรัทธา และต่างชาติจะไม่กล้ามาลงทุนในไทย เพราะไม่ไว้ใจกระบวนการยุติธรรมนะคะ”
นี่คือข้อความแสดงความห่วงใยจาก ดร.เสรี วงษ์มณฑา เสนอว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะทำเสมือนว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล (ซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่เกี่ยวโดยตรงหรอก) ไม่ได้แล้ว จะ “ลอยตัว” แบบที่ทำอยู่ประจำ (อันนี้ผมพูดเอง 555) ไม่ได้แล้ว เพราะเรื่องนี้กระทบต่อ “ความรู้สึก” ของผู้คนเป็นจำนวนมาก ชนิดที่ในผู้มีวุฒิภาวะทางอารมณ์จำกัด ก็ด่ากราดไปหมด ตั้งแต่ตำรวจ อัยการศาล (ซึ่งเรื่องยังไปไม่ถึงศาลเลย) และแน่นอน “รัฐบาล” ก็คงต้องโดนหางเลขไปด้วย
กระนั้นก็ตาม สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำ ไม่ใช่เรื่องการ “แทรกแซง” แต่เป็นเรื่องของการผดุงหลักการที่เรียกว่า “นิติรัฐ-นิติธรรม” บ้านเมืองต้องมีขื่อมีแป ทุกคนต้องเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย และกฎหมายต้องดำเนินการไปด้วยความ “ยุติธรรม” และ “เสมอหน้า”
“ตำรวจ” อยู่ในบังคับบัญชาของรัฐบาล ครั้งการเข้าไปกำกับตำรวจ ให้ตรวจสอบ ทำคำโต้แย้งกับอัยการ และชี้แจงกับประชาชนนั้น ย่อมมิใช่การ “แทรกแซง” หากแต่เป็นการรักษาไว้ซึ่งหลัก “นิติรัฐ-นิติธรรม” ดังได้กล่าวมาแล้ว เป็น “หน้าที่” เลยละครับ ไม่ใช่ต้อง “ทำใจ” มา “แทรกแซง”
นายกฯ ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “คนดีศรีแผ่นดิน” ต้องใจเต้นแรง ตัวร้อนผ่าว ที่เห็นข่าวนี้ และรู้สึกได้ถึง “ความอยุติธรรม” ของกระบวนการ และเร่งรีบไต่ถามต่อผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ใช่ครับ ผู้ตายไม่ใช่ญาติโกโหติกาอะไรของคนไทยทั้งแผ่นดินหรอก ก็แค่ตำรวจคนหนึ่ง ที่ถ้าตำรวจด้วยกันมันยังยอมให้ตายฟรี ไม่มีการเอาผิดคนที่ทำให้ตาย ก็ช่างหัวมันปะไร!! คิดง่ายๆ แย่ๆ แค่นี้ก็ได้ แต่โชคดีว่า คนไทยยังรัก “ความถูกต้อง-เป็นธรรม” กันอยู่ เขาอาจไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับครอบครัวผู้ตายโดยตรงหรอก (เพราะครอบครัวก็ไม่ได้แสดงความเดือดร้อนเท่า ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่เดือดร้อน แต่ในฐานะคู่กรณีที่ได้รับการเยียวยาแล้ว อาจรู้สึก “อภัย” ต่อกันได้) แต่สังคมรู้สึกกับ“มาตรฐาน” ของ “กระบวนการยุติธรรม และรู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำ ว่าคนรวยรอด “คุกมีไว้ขังคนจนเท่านั้น”
ซึ่งหากนายกฯ ปล่อยให้คน “สิ้นศรัทธา” กับ “กระบวนการยุติธรรม” โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม “ต้นน้ำ” คือ ตำรวจกับอัยการ ที่ถูกเรียกร้องให้ปฏิรูปมาตั้งแต่ก่อนท่านนายกฯ “ยึดอำนาจ” ถามว่า 6-7 ปีที่ล่วงเลยมา มีอะไรคืบหน้าให้คนไทยชื่นใจบ้างไหม มีความหวังบ้างไหม?
ลำพังตำรวจหาตัวแรมโบ้อีสาน-สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ไม่เจอจึงนำตัวส่งฟ้องศาลไม่ทัน คดีขาดอายุความ แล้วคนคนนี้ก็มาทำงานอยู่ข้างตัวท่านนายกรัฐมนตรี ก็นับว่า “ทุเรศ” เพียงพอแล้ว ยังไม่รวมการหาตัว พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ไม่เจอ เอาคนมีคดียาเสพติดที่ศาลต่างประเทศพิพากษาลงโทษมาอยู่ในคณะรัฐมนตรี เอาคนที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่าทุจริตสนามฟุตซอล มาเป็นประธานวิปรัฐบาล มันก็ “สุดๆ” แล้วนะท่าน ดังนั้น จงฟัง ดร.เสรี ท่านเถอะครับ พูดก็พูดเถอะเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล “ประยุทธ์” เลย มันเกิดขึ้นนานแล้ว นานจนเกินไปแล้ว นานชนิดที่ประชาชนใช้คำว่า “นานฉิบหาย!!” ก็แน่ละ ผู้ก่อเหตุมีพ่อแม่รวยล้นฟ้า ตำรวจผู้ตายเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย อยู่ในพื้นที่ระบบอุปถัมภ์ของครอบครัวนี้ มีกำลังที่จะหาทนายความมาประวิงเวลา มาโต้แย้งข้อกล่าวหาทั้งหลาย มาเจอสำนวนที่ต้องตรวจสอบว่าอ่อนหรือแข็ง มาเจอการ “เพิ่มพยาน” หลังผ่านเหตุการณ์มาหลายปี มาเจออะไรที่ “ตำรวจ” ต้องอธิบายมากมายก่ายกอง เช่นกันกับ “อัยการ” ผู้ใช้ดุลยพินิจในการสั่ง “ไม่ฟ้อง” และ “ผบ.ตร.” ที่ไม่ทำความเห็นแย้ง
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มือกฎหมายชั้นดีท่านหนึ่งของประเทศนี้ ให้ความเห็นน่าสนใจว่า
“...เรื่องอัยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยานี่ อัยการสรุปว่า เป็นความประมาทของตำรวจ(ผู้ตาย)เพียงฝ่ายเดียว เพราะตำรวจ(ผู้ตาย)ขับรถจักรยานยนต์ ตัดหน้ารถยนต์ลูกกระทิงแดงอย่างกะทันหัน ตอนแรกอัยการสั่งฟ้อง แต่หลังจากพิจารณามานานถึง 8 ปี ก็กลับคำสั่งเดิมเป็น“สั่งไม่ฟ้อง” ด้วยเหตุผล หลักๆ คือ
...เหตุที่สั่งฟ้องในตอนแรกเพราะ พ.ต.ต.ธนสิทธิ แตงจั่น ผู้ตรวจสอบความเร็วให้การว่า ลูกกระทิงแดงขับรถด้วยความเร็ว 177 กม./ชม. แต่หลังจากนั้น เมื่อมีการร้องขอความเป็นธรรม พ.ต.ต.ธนสิทธิ แตงจั่น ได้ให้การใหม่เมื่อ2 มี.ค. 2557 ว่าได้คำนวณใหม่แล้ว ความเร็วรถลดลงเหลือเพียง 79 กม./ชม. และได้มีพ.ต.ท.สมยศ แอบเนียน, พ.ต.ท.สุรพล เดชรัตนวิไชย และ รศ.ดร.ลายประสิทธิ เกิดนิยม (ให้การเมื่อ 23 ม.ค.2560 หลังเกิดเหตุถึง 5 ปี) ว่า รถยนต์ของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ไม่น่าจะขับ 177 กม./ชม. แต่น่าจะขับเพียง 76 กม./ชม. จะเห็นว่า เมื่อมีการร้องขอความเป็นธรรม ความเร็วของรถลดลงประมาณ 100 กม./ชม. เหลือเพียง 76 กม./ชม. และอัยการก็เชื่อตามนั้น
...ผมมีข้อโต้แย้ง(ทางวิชาการ) ต่อคำสั่งของอัยการ ดังต่อไปนี้
*ข้อโต้แย้ง ประการที่ 1 ผมไม่เชื่อความเห็นของพยานที่ให้การกลับคำในภายหลัง และไม่เชื่อคำให้การของพยานที่ให้การหลังเกิดเหตุหลายปี ที่ให้การแตกต่างกันในเรื่องความเร็วรถถึง 100 กม./ชม. ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลาง มาพิสูจน์ว่า ความเร็วรถ ว่าน่าจะ 177 กม./ชม หรือ 76 กม./ชม. หากเป็น 177กม/ชม. พยานที่ให้การในตอนหลังว่า 76 กม./ชม. ก็น่าจะมีปัญหาแล้วล่ะครับ ตอนนี้น่าจะครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่ไอ ก็จาม อยู่ล่ะครับ ประการสำคัญคือ ในกทม.เขาจำกัดความเร็วรถยนต์ไม่เกิน 80 กม./ชม. ที่พยานให้การตอนหลังว่า 76 กม./ชม. จะเป็นการให้การเพื่อให้สอดคล้องกับการจำกัดความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.หรือเปล่า
*ข้อโต้แย้งประการที่ 2 ผมเห็นว่า สภาพรถยนต์หลังเกิดเหตุ ยับเยิน กระโปรงหน้ายุบ กระจกหน้าแตก น้ำมันเครื่องไหลเป็นทาง รถยนต์คันนี้ราคาจำหน่ายในประเทศไทย คันละ 32 ล้านบาท ถ้ารถราคา 32 ล้าน ชนด้วยความเร็ว 80 กม./ชม. สภาพรถยับเยินขนาดนี้ เสียชื่อผู้ผลิตหมดครับ
*ข้อโต้แย้งประการที่ 3. จากจุดชนจุดแรก ถึงจุดที่รถจักรยานยนต์ผู้ตายไปตกอยู่ห่างกัน 163.6 เมตร หากความเร็วรถยนต์ 76 กม./ชม. น่าจะหยุดรถได้เร็วกว่านั้น
ไม่น่าจะลากยาวไปถึง 163.6 เมตร
*ข้อโต้แย้งประการที่ 4 ผมไม่ให้น้ำหนักพยานบุคคลอีก 2 คน ที่มาให้การเมื่อ 4 ธ.ค. 2562 หลังเกิดเหตุถึง 7 ปี ว่าพยานขับรถตามหลังรถลูกกระทิงแดง และเห็นว่าลูกกระทิงแดงขับไม่เกิน 80 กม./ชม. น่าสงสัยว่า พยาน 2 ปากนี้รออะไรอยู่ถึง 7 ปี จึงเข้าให้การ และเป็นการให้การก่อนที่อัยการจะสั่งไม่ฟ้องไม่กี่เดือน เป็นพิรุธอย่างยิ่งครับ
...กล่าวโดยสรุป เรื่องนี้ ต้องทำให้ชัดปราศจากข้อสงสัย ไม่งั้นกระบวนการยุติธรรมของประเทศพังครับ แล้วประเทศจะพังไปด้วยครับ”
ขณะที่ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า “...เรื่องขับรถชนคนตาย เป็นเรื่องสามัญ (common) ที่คนรู้เห็นและเข้าใจกันทุกชนชั้น ทั้งประเทศ แต่การที่จำเลยไม่ถูกสั่งฟ้อง อย่างกรณีนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดและไม่มีใครเข้าใจได้เลย แทนที่จะทำสำนวนว่า ประมาทร่วมและได้ช่วยเหลือครอบครัวผู้ตายอย่างดีแล้ว ปล่อยให้ไปศาลแล้วถูกศาลตัดสินจำคุกแต่ให้รอลงอาญา
ดังนั้น อัยการที่ไม่สั่งฟ้อง และตำรวจที่ไม่ทำความเห็นแย้ง ซึ่งทั้งคู่เป็นองค์กรหลักในกระบวนการยุติธรรมที่เปราะบางอยู่แล้ว ก็ยิ่งกลายเป็นความล้มเหลวและหมดหวังที่จะพึ่งได้อีกจากคนทั้งประเทศที่รับรู้เข้าใจเรื่องง่ายๆ นี้หมดทุกคน และจะทำให้ระบบความยุติธรรมหมดความหมายไม่มีความสำคัญอีกต่อไป
ถ้ามองให้ดี จะเห็นว่าเศรษฐกิจก็ล้มเหลว การแพร่ระบาดของโควิดก็คุกคาม สังคมก็แตกแยก คนเบื่อและเกลียดรัฐบาลมากขึ้น การเมืองก็แย่งผลประโยชน์และคนรู้สึกว่ามีแต่นักการเมืองน้ำเน่าที่แก่งแย่ง หน้าไม่อายและกอบโกย คอร์รัปชั่นไม่ต่างจากยุคก่อนๆ อย่างเดียวที่รัฐบาลใช้เป็นหลักพิงประคองตัวอยู่ได้คือ Law and Order (กฎหมายและคำสั่ง) บัดนี้คนส่วนใหญ่เห็นว่า กฎหมายมันไม่ศักดิ์สิทธิ์และไม่น่าเคารพเชื่อฟังอีกแล้ว เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องประชาชนทุกภาคส่วนรุมกันด่าตำรวจหรืออัยการ แล้วพอผ่านไปสองอาทิตย์ก็จบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการพังทลายลงของรัฐบาล ซึ่งคาดว่า จะมาเร็วมาก โดยเฉพาะเมื่อมีคนโยงและชาวบ้านเชื่อว่านายกรัฐมนตรีรับเงินบริจาค 300 ล้าน เพื่อช่วยเหลือการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากเขาเมื่อหลายเดือนก่อนเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องนี้
นี่ไม่ใช่น้ำผึ้งหยดเดียว แต่เป็นน้ำผึ้งทั้งไหที่เทราดลงไป ขณะที่ม็อบของคนรุ่นใหม่กำลังจุดติด ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านการผูกขาดอำนาจ ต่อต้านพวกทุจริต ต่อต้านรัฐบาลที่ทำให้คนตกงาน เศรษฐกิจล้มเหลว หรือต่อต้านเผด็จการ ทั้งหมดคือภาพรวมของการต่อต้านสังคมที่อยุติธรรมนั่นเอง
เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยรัฐบาลไม่รับรู้ ไม่ตั้งใจ แต่ Timing(ช่วงเวลา)ที่มาคือการสาดน้ำมันเข้ากองไฟที่เพิ่งจุดติดแค่กองเล็กๆ จากการชุมนุมของนักศึกษาเท่านั้น และมันจะทำให้เกิดกองไฟลุกท่วมประเทศในเวลารวดเร็วมาก
โอกาสเดียวที่นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา จะหลุดรอดและพารัฐบาลออกจากพายุอารมณ์และความโกรธแค้นของผู้คนทั้งประเทศได้ คือ การออกมาพูดโดยเร็วที่สุดว่ารัฐบาลไม่เกี่ยวข้องและไม่รู้เรื่องนี้ แต่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมไม่ใช่จะมาพูดว่ารัฐบาลจะไม่ก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม เพราะ perception (ความเข้าใจ)ของคนทั้งประเทศ เห็นรัฐบาลสั่งได้หมดมาตั้งแต่ช่วงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)แล้ว และนายกฯจะตั้งกรรมการขึ้นตรวจสอบกระบวนการเรื่องนี้ทั้งหมด จากคนที่สังคมไว้วางใจ โดยให้ทำให้เร็วที่สุดสักสองสัปดาห์ และประกาศว่า ถ้าพบว่ามีอะไรผิดพลาด ทุจริตหรือประพฤติไม่ชอบ จะลงโทษทุกคนที่เกี่ยวข้องอย่างรุนแรงที่สุดเพื่อเรียกศรัทธาและความมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมกลับมา และทำให้มี Law and Order ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ค้ำจุนรัฐบาลนี้ในเวลานี้กลับคืนมา เป็นหลักเดียวที่รัฐบาลจะใช้ค้ำจุนตนเองต่อไปได้ครับ...”
ทั้งหมดที่หยิบยกมา เพื่อจะบอกกับ พล.อ.ประยุทธ์ว่า “นิติรัฐ-นิติธรรม” จะเป็นเสาค้ำเก้าอี้ท่านได้ในเวลานี้!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี