สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยเริ่มจะซาลงมากแล้ว เห็นได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อระยะหลังๆ มีแต่ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น แต่สำหรับวิกฤติทางเศรษฐกิจยังต้องเป็นห่วงกันอีกนานเพราะแม้กระทั่ง ณ ปัจจุบันก็ยังมีข่าวคนฆ่าตัวตายเพราะตกงานต่อเนื่องยาวนานมาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของสถานการณ์โรคระบาดและยังหางานทำไม่ได้ เช่นเดียวกับธุรกิจที่แม้จะกลับมาเปิดทำการได้หมดแล้วตามการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ระยะต่างๆ แต่ก็ต้องอยู่ในสถานะระวังตัวทุกฝีก้าวกับรายได้ที่ยังไม่ฟื้นคืนจากการถูกปิดยาวนานหลายเดือน
ดังที่ เทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เล่าผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2563 ว่าด้วยการไปพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่ตลาดนัดบ้านหนองหม้อ ต.สวนหลวง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครศรีธรรมราช “ผู้ค้าในตลาดระบายความทุกข์เรื่องการขายของไม่ได้ เพราะลูกค้าเองก็ไม่มีกำลังซื้อ” จึงขอฝากไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าให้ช่วยขยายมาตรการเยียวยาออกไปอีก 3 เดือน รวมเป็น 6 เดือน
สำหรับโครงการเยียวยาดังกล่าวนั้นมีชื่อเรียกว่า“เราไม่ทิ้งกัน” เป็นการจ่ายเงินเยียวยาเดือนละ 5,000 บาท ให้กับแรงงานนอกระบบหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ อันหมายถึงผู้ที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 อาทิ ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย คนขับรถแท็กซี่-ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง พนักงานนวดพนักงานสถานบันเทิง นักดนตรี มัคคุเทศก์ ฯลฯ ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในการสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19
โดยเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2563 อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (ในขณะนั้น) กล่าวถึงมาตรการเราไม่ทิ้งกัน ว่า “จะขยายจาก 3 เดือน คือ เม.ย.-มิ.ย. 2563 หรือคิดเป็นเงินจำนวน 15,000 บาทต่อคน เป็น 6 เดือน คือ เม.ย.-ก.ย. 2563 หรือคิดเป็นเงินจำนวน 30,000 บาทต่อคน” แต่ในเวลาต่อมา วันที่ 27 พ.ค. 2563 อุตตม เปิดเผยว่า แม้รัฐบาลจะต่ออายุการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ออกไป แต่สำหรับมาตรการเยียวยาเป็นเงินเดือนละ 5,000 บาท คงจะไม่ขยายออกไปอีก เท่ากับว่าจะช่วยเหลือเพียง 3 เดือนเท่านั้น
ขณะที่ในระดับโลก คำว่า “UBI” Universal Basic Income หรือการประกันรายได้ขั้นพื้นฐาน กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง เมื่อโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เผยแพร่รายงาน Temporary Basic Income (TBI) หรือรายได้ขั้นพื้นฐานชั่วคราว ระบุว่า หากใช้มาตรการดังกล่าวเป็นเวลา 6 เดือน จะใช้งบประมาณเพียงร้อยละ 12 ของงบประมาณที่ใช้ดำเนินมาตรการทางการเงินเพื่อรับมือสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน
“ก่อนหน้าการระบาดของไวรัสโควิด-19 UBI ถูกพูดถึงด้วยเหตุจากรูปแบบการจ้างงานและการทำงานที่เปลี่ยนไป” เช่น ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) หุ่นยนต์ (Robot) ระบบอัตโนมัติ(Automation) ทำให้ผู้ประกอบการมีแนวโน้มหันไปนำสิ่งเหล่านี้มาใช้แทนแรงงานคนเนื่องจากต้นทุนถูกกว่าในระยะยาว อาทิ ไม่ต้องขึ้นค่าจ้าง ไม่ต้องจ่ายสวัสดิการ ไม่ป่วย ไม่เหนื่อย เก่าตกรุ่นก็ปลดระวางได้ทันที
และนั่นจะทำให้สัดส่วนแรงงานนอกระบบเพิ่มขึ้น เนื่องจากจะเหลือคนไม่มากนักที่ยังถูกว่าจ้างเป็นพนักงานประจำ ส่วนที่เหลือจะเป็นการจ้างงานแบบเป็นรายครั้ง(Freelance หรือ Gig Economy) ที่รับงานหรือลงประกาศหางานผ่านแพลตฟอร์ม (Platform) ออนไลน์ต่างๆ เช่น เว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ การเป็นแรงงานอิสระ หรือนอกระบบด้านหนึ่งมีข้อดีคือมีความยืดหยุ่นด้านเวลา แต่ละคนสามารถเลือกได้ว่าใน 1 วัน จะทำอะไรบ้างที่ตนเองคิดว่าเกิดประโยชน์สูงสุด การหยุดทำงานไม่ต้องเขียนใบลากับนายจ้าง
แต่ก็มีข้อเสียคือแรงงานนอกระบบมีความมั่นคงต่ำและไม่มีสวัสดิการ หลายคนกลับกลายเป็นว่าต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อหารายได้ในแต่ละวันให้มากที่สุดจนไม่มีเวลาพักผ่อนหรือทำกิจกรรมอื่นๆ อาทิ ผู้ขับรถแท็กซี่หลายท่านเล่าว่าในวันหนึ่งอาจทำงาน 12-15 ชั่วโมง เพื่อให้มีรายได้เหลือในระดับเพียงพอเลี้ยงครอบครัว บางท่านถึงกับเตรียมเครื่องแบบไว้เปลี่ยน 2-3 ชุด อาศัยจอดรถนอนและอาบน้ำตามปั๊มน้ำมัน 2-3 วันค่อยกลับบ้านทีหนึ่ง แต่การงีบหลับในรถแบบนี้อย่างไรเสียก็พักผ่อนไม่เต็มที่เท่านอนพักที่บ้าน และส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว
หรือกรณีผู้ขี่มอเตอร์ไซค์ส่งอาหารที่รับงานผ่านแอพพลิเคชั่นระยะหลังๆ เริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมการขับขี่ที่เป็นอันตรายและก่อความเดือดร้อนรำคาญ อาทิ ขับขี่ฉวัดเฉวียนไปมาและใช้ความเร็วสูงอย่างน่าหวาดเสียว ขับขี่ย้อนศร ขับขี่บนทางเท้าและบีบแตรไล่คนเดินเท้า ซึ่งเบื้องหลังของพฤติกรรมเหล่านี้ คือความต้องการรับงานให้ได้มากที่สุดในแต่ละวันเพื่อให้มีรายได้มากพอ เพราะไม่รู้ว่าวันรุ่งขึ้นจะมีรายได้เท่าใด ต่างจากมนุษย์เงินเดือนที่เป็นแรงงานในระบบที่มีรายได้แน่นอนเป็นค่าจ้างรายวันหรือเป็นเงินเดือน
ผู้ริเริ่มแนวคิด UBI คือ ศ.กาย สแตนดิง (Prof.Guy Standing) นักวิชาการจากวิทยาลัยบูรพคดีศึกษาและการศึกษาแอฟริกา มหาวิทยาลัยลอนดอน (SOAS Universityof London) ให้เหตุผลว่า หากผู้คนมีรายได้เบื้องต้นรองรับในระดับหนึ่ง ก็จะรู้สึกว่าชีวิตตนเองไม่ลำบากจนเกินไปนักทำให้ไม่ต้องหมกมุ่นกับการทำงานจนละเลยชีวิตด้านอื่นๆ(สุขภาพ ครอบครัว การศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพตนเอง) รวมถึงกล้าปฏิเสธงานที่มีเงื่อนไขไม่เป็นธรรมอีกด้วย (อนึ่ง กรณีนี้สำหรับประเทศไทย อาจรวมถึงงานสีเทาๆ ที่สังคมรับรู้ว่ามีแต่ไม่อยากพูดถึงนัก)
แต่ความท้าทายของ UBI คือ “รัฐจะไปหาเงินจากไหนมาประกันรายได้ขั้นพื้นฐานของประชาชน” เพราะหากเชื่อตามวิธีคิดของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ข้อเสนอที่ว่าจะไปเก็บภาษีบรรดาบริษัทที่หันไปใช้เทคโนโลยีแทนแรงงานคน ย่อมถูกคัดค้านด้วยเหตุผลว่าจะทำให้บริษัทเหล่านี้ขาดแรงจูงใจในการสร้างนวัตกรรมเพื่อผลิตสินค้าและบริการใหม่ๆ เช่นเดียวกัน การมีรายได้เข้าบัญชีสม่ำเสมอ อาจทำให้คนจำนวนไม่น้อยไม่กระตือรือร้นในการหางานทำ และทั้ง 2 ส่วนข้างต้นท้ายที่สุดย่อมกระทบเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ
“ที่นี่แนวหน้า” นำเรื่องการประกันรายได้พื้นฐานมาเล่าในสัปดาห์นี้..ก็ด้วยจะชวนท่านผู้อ่านมาร่วมกันคิดว่าระบบดังกล่าวซึ่งมีเจตนาดีนั้นมีโอกาสเป็นจริงได้มากน้อยเพียงใด..และหากจะเป็นจริงได้นั้นจะเกิดด้วยวิธีใดที่จะกลายเป็นปัญหาต่อเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี