พรรคประชาธิปัตย์ โดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ คือผู้ถือเดิมพันสูงสุดเรื่อง “แก้/ไม่แก้รัฐธรรมนูญ” ที่ขณะนี้กำลังเป็นกระแส จนแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี-อดีตหัวหน้า คสช. ยังต้องเล่นบท “สนลู่ลม”คือ ตามกระแสไปก่อน ว่า “ก็ไปคุยกันนะ ไม่ติดขัดเรื่องการจะแก้” แต่ “ต้องดูประเด็นก่อน”
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เรียกหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล อาทิ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เข้าพูดคุยหารือในห้องพักรับรองถึงประเด็นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มีมติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ
เมื่อเข้าสู่วาระการประชุมครม.นายกฯ กล่าวว่า ได้พูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าฝ่ายค้านจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นอะไร ซึ่งรัฐบาลก็พร้อมที่จะสนับสนุน แต่จะต้องดูประเด็นที่จะแก้ไขก่อน จากนั้นนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ รายงานขั้นตอนการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าจะต้องผ่าน 4 ขั้นตอน จึงทำให้นายจุติ ไกรฤกษ์รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ขอให้รัฐบาลเร่งรัดรีบดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นผลงานของรัฐบาล
ขณะที่ นายศุภชัย โพธิ์สุ สส.นครพนม พรรคภูมิใจไทย และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 กล่าวถึงข้อเรียกร้องของนิสิต นักศึกษาให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า พรรคภูมิใจไทย ยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน คาดว่า การประชุมสส.พรรคครั้งหน้า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยจะหยิบยกเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุม ซึ่งพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ละเลยเรื่องนี้ เพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในฐานะผู้ใช้รัฐธรรมนูญเห็นปัญหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่บ้าง และในฐานะที่ตนเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 มีหน้าที่รับผิดชอบญัตติของสมาชิก ก็ได้เซ็นรับรองญัตติที่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมดเข้าสู่ที่ประชุมสภาซึ่งสภาไม่ได้ละเลย โดยระหว่างนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 สภาผู้แทนราษฎร จึงต้องรอแนวทางดังกล่าวด้วย
“ผมคิดว่านิสิต นักศึกษาที่ออกมาเรียกร้องเรื่องนี้คงต้องให้เวลาสภาพิจารณาด้วย ไม่ใช่เรียกร้องจะได้ทันที เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ คณะกมธ.วิสามัญฯก็ตั้งขึ้นมาศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนที่จะมีการเรียกร้องของนิสิต นักศึกษา แสดงให้เห็นว่าสภาก็ไม่ได้ละเลย และส่วนตัวคิดว่า เรื่องนี้หลีกเลี่ยงที่จะไม่มีการแก้ไขไม่ได้อยู่แล้ว เพราะคนร่างไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ร่าง” นายศุภชัย กล่าว
เมื่อถามว่า นายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์เตรียมเสนอญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมกับสส.พรรคภูมิใจไทยนั้น นายศุภชัยกล่าวว่า ก็เป็นเรื่องที่นายเทพไทเสนอ แต่ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยยังไม่ได้มีการพูดคุยกันอย่างเป็นทางการ ต้องรอมติจากที่ประชุมพรรคว่าจะมีแนวทางอย่างไร แต่เชื่อว่าคงไม่มีสส.ของพรรคไปลงชื่อในญัตติ โดยที่ยังไม่มีมติพรรคเพราะพรรคภูมิใจไทยเป็นประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ มีวินัยเวลาจะทำอะไรต้องหารือกันก่อนเรามีเอกภาพมากพอ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้รอขั้นตอนแรกที่ใกล้แล้วเสร็จ โดยที่คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาหลักเกณฑ์ และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เตรียมนำเสนอรายงานกมธ.วิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเร็วๆ นี้ จากนั้นสภาฯจะเสนอรายงานดังกล่าวต่อรัฐบาล
ทั้งนี้ ภายหลังรัฐบาลได้รับรายงานแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 ที่รัฐบาลจะให้มีการจัดทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของรัฐบาล โดยพรรคร่วมรัฐบาลจะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินการจัดทำญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาล เสนอเป็นฉบับรัฐบาลเพื่อนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาต่อไป
มีรายงานว่า ในช่วงเที่ยงวันที่ 5 ส.ค. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้เรียกแกนนำพรรคหารือถึงกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีการพูดคุยแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะมีการเสนอว่า เบื้องต้นจะมีประเด็นและมาตราใดบ้างที่จะเสนอให้มีการแก้ไขในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อนำไปหารือในพรรคร่วมรัฐบาลและจะได้กำหนดแนวทางที่เห็นตรงกันเสนอในนามฉบับรัฐบาล
ทั้งนี้ ประเด็นใดที่เห็นไม่ตรงกันก็จะไม่เสนอเข้าไปในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องการตั้ง ส.ส.ร.นั้น พรรคพลังประชารัฐไม่เห็นด้วย เพราะไม่สามารถกำหนดประเด็นที่จะแก้ไขได้ โดยเฉพาะมาตราที่เกี่ยวกับ สว.ซึ่งพลังประชารัฐไม่ต้องการให้มีการแก้ไข
แต่ในเวลาถัดมา นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า ได้กล่าวถึงข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และหลายพรรคการเมือง เห็นชอบให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ว่า การแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256นั้น ยังไม่พอ ต้องแทงที่กลางหัวใจ คือ แก้มาตรา 272 ห้าม สว.แต่งตั้งเลือกนายกรัฐมนตรี การแก้แต่มาตรา 256 เป็นเพียงการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดช่องทางให้ไปแก้รัฐธรรมนูญเท่านั้นยังไม่พอ การที่ให้ สว.ซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร มาร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่เป็นประชาธิปไตย และเกิดปัญหาทำให้คนแตกแยกแบ่งฝั่งกันทั้งที่ไม่จำเป็นควรจะแก้ไข
“ถ้ามองในแง่ปฏิบัตินิยมการให้ สว.ที่มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ตามบทเฉพาะกาล 5 ปีแรก ถือเป็นกลไกที่ไม่มีความจำเป็น เพราะบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้จะต้องได้เสียง สส.มากกว่าครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร หากได้คะแนนเสียงไม่ถึงตามเงื่อนไขนี้ แล้วดันทุรังเอาเสียง สว. มาดันตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี สุดท้ายจะเป็นนายกฯได้ไม่ถึง 1 เดือนก็จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยแพ้โหวตจากสภาผู้แทนราษฎรเพราะเสียง สส.ไม่พอ” นายอรรถวิชช์ กล่าว
ส่วนกรณีลงมติเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เสียง สส. ในสภาผู้แทนราษฎร 251 เสียง ตามเงื่อนไขมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ตามหลักการอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายเผด็จการพิสดาร ใช้เสียง สว.แต่งตั้งมาช่วย ก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ จึงเห็นว่า การให้ สว. ที่มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นกลไกที่ไม่มีความจำเป็น และไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่ง
“การให้ สว. ที่มาจากการแต่งตั้ง มีส่วนร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี นอกจากไม่ใช่วิถีทางประชาธิปไตยแล้ว ยังไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นประเด็นที่เพิ่มมาจากคำถามพ่วงประกอบการประชามติ ไม่ใช่ถ้อยคำที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ตั้งใจร่างไว้แต่แรก จนทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีตำหนิ ดังนั้นหากจะแก้รัฐธรรมนูญต้องแทงกลางใจแก้มาตรา 272 ไม่ให้ สว.แต่งตั้งเลือกนายกรัฐมนตรี”นายอรรถวิชช์ กล่าว
เมื่อไล่เลียงประเด็นจาก “ข่าว” ข้างต้นมาแล้ว ก็มาวิเคราะห์สิ่งที่อยู่นอก “ข่าว” แต่อาจจะอยู่ “ในใจ” ของตัวละครสำคัญทางการเมืองทั้งหลาย
1) ในใจของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า “รัฐธรรมนูญฉบับนี้” มีบท “อปกติ” คือไม่ปกติแทรกแซมอยู่เพื่ออะไร? หากยึดเอาตามคำกล่าวของนายวันชัย สอนศิริ ผู้ภาคภูมิใจเปี่ยมล้นว่าตนผลักดันให้เกิด“บทเฉพาะกาล” ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ ก็ต้องบอกว่า“เป็นระยะเปลี่ยนผ่าน เพื่อให้บ้านเมืองเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อย่างสงบเรียบร้อย” ก็ต้อง “ประคองๆ” กันไปก่อน แต่บัดนี้ก็คงรู้กันแล้วแหละ ว่า การจะเปลี่ยนผ่านบ้านเมืองสู่ความเป็นประชาธิปไตย โดยให้คณะบุคคล ที่บางกลุ่มบางพวกเขาเรียกว่า “เผด็จการ” มาเป็นผู้ประคับประคอง คือ “เชื้อของปัญหาความขัดแย้ง” และเป็น“จุดอ่อนให้ถูกโจมตี” ได้อยู่เสมอ เพราะเป็น “คนกลางที่ลงมานั่งถืออำนาจต่อด้วยลูกล่อลูกชนทางกฎหมายสูงสุด และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีกบางส่วน เขียนกติกากันเอง เลือกกรรมการกันเอง (กกต. / สว.) สนามแข่งขันเปิดให้บางพวก ปิดกั้นบางพวก (คำสั่ง คสช. และ ม.44) แล้วสุดท้ายก็มาเป็นนายกฯ ใหญ่เหนือพรรคพลังประชารัฐบอกซ้ายบอกขวาได้ ตรงนี้ไม่ใช่หรือ คือ หัวใจของ “ปัญหา” แต่ก็นั่นแหละ พล.อ.ประยุทธ์ และกองเชียร์ของท่านล้วนเป็นคนที่เชื่อมั่นถึงขีดสุดว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือ “คนดี” ไม่ว่าจะ“ใช้วิธีอะไรเพื่อจะชนะ” ก็ยังดีอยู่เสมอ เพราะคนที่เขาชนะคือ “คนไม่ดี” จึงใช้ทั้ง “ลูกน้องของคนไม่ดี” ปั้นแต่งกติกา คัดเลือกรรมการ มารอไว้ให้ตัวเองขึ้นสู่อำนาจ แบบ“คนดีๆ” เขาทำกัน?
ดังนั้น การคิดจะ “รื้อนั่งร้าน” ด้วยการพัง “หลักประกันการเป็นนายกฯ” อย่างที่อรรถวิชช์เสนอ คือ เอาอำนาจในการเลือกนายกฯ ของ สว.ออกไป ไม่มีทางเกิดขึ้นได้!!ดูท่าทีของนายเสรี สุวรรณภานนท์ สว.เป็นตัวอย่างสิ ส่วนการจะตั้ง ส.ส.ร. ก็ไปดูท่าทีของนายไพบูลย์ นิติตะวัน กับนายพรเพชรวิชิตชลชัย ประธาน สว.สิ พวกนี้คือ “ตัวละครเอก”ตั้งแต่ยุคยึดอำนาจมาถึงปัจจุบันทั้งนั้น
2) ผมจึงวิเคราะห์ว่า สิ่งที่เห็นเวลานี้คือ “มายา” พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีบทอื่นให้เล่น เพราะในฐานะ “พระเอก” จะไม่เห็นด้วยต่อการแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ เดี๋ยวผู้ชมจะชังโดยเฉพาะกระแสมันมา ทั้งนักเรียน นิสิต นักศึกษานักการเมือง นักกฎหมาย ล้วนจี้ไปที่จุดอ่อนของบ้านเมือง คือ “กติกาที่สร้างความไม่เท่าเทียมของการแข่งขัน นำมาซึ่งความขัดแย้ง” และมีโอกาสที่จะบานปลาย การแสดงท่าทีว่าเปิดรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ อาวุธที่จะใช้ ตีกระทบ” ไปที่ม็อบเยาวชนทั้งหลาย ว่า ไปคิดมาเถอะ เรารับฟังแล้ว อยากแก้ไขอะไร มาคุยกัน เสนอมา ถึงขั้นเปิดให้มีการพบปะและพูดคุยกับเยาวชนทั้งหลาย
3) ดูท่าทีจาก “ข่าว” ที่ประมวลมา นายกฯพยายามจะรวมประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย ให้มาเป็นทีม “พรรคฝ่ายรัฐบาล” เพื่อเสนอแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียง “ฉบับเดียว” เรื่องอะไร จะให้ประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทยไปสมคบกันเสนอล่ะ อำนาจต่อรองมันจะเกิด ยอมได้หรือ?
4) ภูมิใจไทยเขาไม่เดือดร้อนอะไรจากรัฐธรรมนูญ เพราะเขาเป็นพรรคขนาดกลาง ได้ทั้ง สส.เขต และบัญชีรายชื่อ บวกกับว่า ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เขาก็ไม่ถูก “ฝ่ายความมั่นคง” ไล่บี้ในพื้นที่เท่ากับประชาธิปัตย์ หลังนายอภิสิทธิ์ประกาศชัดว่า “ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี”
5) แต่กับ “ประชาธิปัตย์” นั้น นายจุรินทร์ ต้องคิดให้ดีๆ เดินหมากเกมนี้ผิด อาจจบชีวิตความเป็นหัวหน้าพรรคและตัวพรรคไปพร้อมๆ กัน เพราะอะไรครับ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ถูกตีตราว่า “ตระบัดสัตย์” เข้าหนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ มารอบหนึ่งแล้ว โดยที่ตอนนั้นได้สร้างเงื่อนไขของการเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อให้ดู “สวย” ขึ้นนิดหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในสามเงื่อนไขคือ “ต้องแก้รัฐธรรมนูญ” เพราะคลิปที่นายจุรินทร์ขึ้นเวทีปฏิญญาทุ่งสง คือการปราศรัยใหญ่สุดของภาคใต้ ได้กล่าวไว้คำหนึ่งคือ “ประชาธิปไตยวิปริต” และยกตัวอย่าง สว.เลือกนายกฯ โดยที่ว่าที่นายกฯ เป็นคนเลือก สว. และในวันแถลงข่าวร่วมรัฐบาล สมจิตต์ นวเครือสุนทร นักข่าวการเมืองผู้ช่างซักช่างถาม ก็ถามว่า เข้าร่วมรัฐบาลแล้วจะทำอย่างไร นายจุรินทร์ก็บอกว่า จะเข้าไปทำให้เป็น“ประชาธิปไตย” ที่สุจริตขึ้น
6) แน่นอน สไตล์ของจุรินทร์ ไม่ใช่แนวบู๊ล้างผลาญแบบเทพไท เสนพงศ์ เป็นแนวประนีประนอม และรวมถึงได้ยินมาว่า ประธานชวน หลีกภัย ก็เคยเปรยๆ กับ สส. หลายคนเรื่อง “มารยาทในการร่วมรัฐบาล” ในทำนองว่า ถ้าเราเป็นรัฐบาล แล้วมีคนของพรรคร่วมมีพฤติกรรมทำนองนี้กับเรา เราจะชอบไหม จุรินทร์มีแรงสนับสนุนใหญ่ก็คือ ชวน ชนิดพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค “ออกอาการ” กับชวน บ่อยมากในองก์ถัดไปของละครเรื่อง “แก้รัฐธรรมนูญ” นี่ จุรินทร์จะเอาตัวรอดอย่างไร เพราะถ้าย้อนไปเปิดคลิปในยูทูบ ตอนอดีตหัวหน้าพรรคแถลงไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญนั้น นายจุรินทร์ ก็นั่งอยู่กับนายอภิสิทธิ์ทางซ้ายมือ สีหน้าท่าทาง เห็นด้วยทุกประการ
7) ผมคิดของผมเองว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเล่นบท “เปิดทางให้แก้รัฐธรรมนูญ” เพราะไม่มีบทอื่นให้เล่นได้ในฐานะ “คนดี” แต่เรื่องนี้ไม่ยากนี่ครับ เพราะมันเป็น
“เรื่องของสภา” พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เป็น สส. ไม่ได้อยู่ฝ่ายนิติบัญญัติ จึง ตไม่เกี่ยว หากในที่สุดการโหวตในสภาผู้แทนราษฎร เสียงข้างมาก (ซึ่งกุมสภาพโดยพรรคพลังประชารัฐที่มีหัวหน้าพรรคคนใหม่ชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งไม่เกี่ยงว่าจะรับเล่นเฉพาะบทคนดีเหมือน พล.อ.ประยุทธ์) จะ“ไม่เห็นด้วย” กับการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะบางส่วนหรือทั้งหมด และด่านที่สอง นายกฯ จะเกี่ยวอะไรด้วยล่ะครับ ถ้า สว. ก็ไม่ยอมให้ผ่าน จบนะครับ
บาปเคราะห์จะตกอยู่กับ “จุรินทร์” และ “ประชาธิปัตย์” เพราะคนจะจับตาดูว่า “สู้สุดใจขาดดิ้น” หรือแค่ “ต่อยหลอก”อาศัย “มุมกล้อง” เสมือนว่าชกจริง
ถ้า “ชกไม่สมศักดิ์ศรี” อาจต้องลงจากเวทีหัวหน้าพรรค และอาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายให้ “เลือดที่รอไหล” ได้ไหลออกกันอีกระลอกใหญ่
ประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไรต่อไป
เฉลิมชัย ศรีอ่อน จะใช้ทุน อัธยาศัย และบารมี ช่วยกระเตงจุรินทร์ต่อไปอีกไหวไหม
พลังประชารัฐกับภูมิใจไทยก็ได้ประโยชน์จากการจบไปของประชาธิปัตย์มิใช่หรือ
เรื่องนี้จึงจะเป็นหนังแนว “ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ” หรือไม่ ตามดูกันต่อไป!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี