ในช่วงระยะเวลา 30-40 ปีที่ผ่านมา โลกได้มุ่งพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยมีการวัดความเจริญก้าวหน้าของโลกโดยรวม และประเทศหนึ่งใดด้วยตัวเลขทางเศรษฐกิจว่า การเจริญเติบโตต่อปีเท่าใด มีผลผลิตรวมประชาชน (Gross Domestic Product - GDP) เท่าใด มีรายได้ต่อหัวของประชากรกี่ร้อยกี่พัน หรือกี่หมื่นเหรียญสหรัฐ มีโทรศัพท์มือถือกี่เครื่องต่อประชากร และมีการบริการทางด้านสาธารณูปโภคทั่วถึงหรือไม่ต่างๆ เป็นต้น
สถิติตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็มักเป็นตัวเลขรวม และเมื่อมีอัตราการเติบโตจากปีหนึ่งไปยังปีหนึ่งสูงขึ้น ก็จะถือเอาว่าประเทศนั้นๆ มีความเจริญก้าวหน้า หรือมีความเติบโต โดยระยะหลังๆ ยังได้มีการพินิจพิจารณาว่าการเจริญเติบโตนั้นเกิดขึ้นด้วยแขนงสาขาใดอีกด้วย เช่น โดยภาคเกษตร หรือภาคอุตสาหกรรม หรือภาคบริการ หรือภาคการเงิน ทั้งตลาดหุ้น ตลาดพันธมิตร หรือตลาดเงินตรา เป็นต้น
ลึกลงไปกว่านั้น ก็ยังมีการวิเคราะห์วิจัยกันด้วยความมั่งมี มั่งคั่ง ที่เกิดขึ้นจากการเติบโตนั้นไปอยู่ที่ไหน มีการกระจาย หรือมีการกระจุกตัว มีการลดประชากรภาคชนบท และไปเพิ่มที่ภาคตัวเมือง หรือไม่แค่ไหน
ซึ่งก็ทำให้ค้นพบว่า การเจริญเติบโตที่เห็นนั้นมักไม่มีการกระจายตัว แต่กลับกระจุกที่กลุ่มคนแค่หยิบมือเดียว สร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมนั้นๆ ก็เลยมีการตั้งคำถามว่า ทำไมถึงกระจุกตัวและจะแก้ปัญหาอย่างไร เพื่อสังคมจะได้มีช่องว่างลดน้อยลง เพื่อให้สังคมปราศจากผู้คนยากไร้ เพื่อให้สังคมมีความทัดเทียม เสมอภาคทั่วถึงกันให้มากขึ้น หรือนัยหนึ่งให้คนส่วนมากเป็นคนชั้นกลางให้มากที่สุด ซึ่งการที่จะกระทำให้เป็นจริงได้ ก็จะต้องเสริมสร้างความสมดุลระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ กับการเจริญเติบโตทางสังคมด้วย
ฉะนั้นจะมีการจัดความเจริญกันแค่ตัวเลขทางเศรษฐกิจมิเป็นการเพียงพอ ต้องวัดที่คุณภาพชีวิตที่ความมั่นคงทางชีวิต และที่ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ด้วย
ทั้งนี้ขอเท้าความว่า กษัตริย์องค์ก่อนของราชอาณาจักรภูฏาน ซึ่งได้สละราชสมบัติให้โอรสขึ้นครองราชย์แทน ได้มีความคิดให้มีการวัดความเจริญก้าวหน้าด้วยดัชนีแห่งความสุขสบาย (Happiness Index)
ส่วนที่ราชอาณาจักรไทยนั้นองค์พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 ก็ได้ทรงแสดงหลักคิดว่าด้วย เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) ที่แนะแนวทางการจัดการชีวิต และการงานให้มีคุณภาพ โดยการใช้ความคิดไตร่ตรอง และวางแผนวางขั้นตอนแบบไม่โลดแล่น ไม่เสี่ยงให้ระมัดระวัง ให้มีความรอบรู้รอบคอบ เป็นไปอย่างมีระบบเพื่อความอยู่รอดและก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
ในขณะเดียวกัน ก็ถึงเวลาแล้วที่พรรคการเมืองและรัฐบาลก็ต้องไม่คิด ไม่ทำแต่แค่เรื่องตัวเลขเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่ต้องเอาเรื่องคนเป็นตัวตั้ง ตั้งแต่เมื่ออยู่ในครรภ์มารดา เมื่อแรกเกิด ไปจนถึงเชิงตะกอน ซึ่งแน่นอนก็ไม่พ้นเรื่องการรักษาพยาบาล ที่อยู่อาศัยการศึกษา การสวัสดิการ และความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน ความคือต่อจากนี้ไปสังคมไทยต้องมุ่งมิให้ผู้คนต้องนอนก่ายหน้าผาก เพราะรายรับรายจ่ายไม่ลงตัว
สังคมไทยจึงจักต้องอำนวยให้ปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของผู้คนมีความมั่นคงในชีวิตอย่างพอเพียงและสุขใจ
สังคมไทยต้องเริ่มคิดเพื่อไปดำเนินการเพื่อความเจริญก้าวหน้าทางสังคม (Social Growth) เช่น
1.การรักษาพยาบาลฟรี และระบบรักษาพยาบาลมีระบบเดียว
2.การมีเงินเดือนขั้นต่ำสำหรับคนโสด คู่สามีภรรยา ครอบครัวที่มีบุตร ที่จะอำนวยให้อยู่ได้อย่างพอเพียงและมีเงินออมได้ ซึ่งในโลกก็เริ่มมีแนวคิดและทดลองในเรื่อง รายได้พลเมืองขั้นต่ำ ซึ่งในกรณีของไทยอาจเริ่มที่ตัวเลข 15,000 บาท/คนโสด 25,000 บาท/คู่สมรส และเพิ่มให้อีก 5,000 บาท/เดือน/บุตร 1 คน เป็นต้น
3.ส่วนการเล่าเรียนนั้นก็ให้เรียนฟรีถึงระดับปริญญาตรีได้ทุกคน และมีการแนะแนวเพื่อผลการศึกษานั้นจะได้มีงานการรองรับ
4.เมื่อตกงานก็มีเงินช่วยระยะหนึ่ง และมีการให้ทุนฝึกอบรม เพื่อหาความรู้ เพื่ออาชีพใหม่
5.ทุกคนต้องมีบำนาญ
6.อาชีพรับจ้างประจำวัน และอาชีพอิสระนั้นก็ต้องมีระบบสวัสดิการ รวมทั้งระบบการรักษาพยาบาลและเงินช่วยเหลือช่วงตกงาน หรือหางาน
7.ส่วนที่อยู่อาศัยนั้นก็ให้ผ่อนซื้อได้ในระยะยาว โดยค่าผ่อนนั้นให้เป็นสัดส่วนกับรายได้ประจำเดือน
นั่นจึงมีคำถามว่า แล้วรัฐจะเอาเงินมาจากไหน เพื่อรองรับภาระสังคมต่างๆ ดังกล่าว ซึ่งก็พอตอบได้ว่าควรจะมาจาก
1.การปรับปรุงระบบภาษีให้ยุติธรรม รวมทั้งภาษีที่ดิน
2.ทุกคนจะต้องเสียภาษี ในเมื่อมีเงินเดือนขั้นต่ำแล้ว
3.ยุติโครงการประชานิยมทั้งหลาย
4.ตัดค่าใช้จ่ายรัฐที่ไม่จำเป็น เช่น รางวัลนำจับเบี้ยประชุม เป็นต้น
5.ยกเลิกกองทุนต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ
6.รายได้จากสลากกินแบ่งฯ ต่องวดต้องมีเป้าหมายไปใช้ในการพัฒนาสังคม
7.ขจัดความซับซ้อนของหน่วยราชการ และลดจำนวน เป็นต้น
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นความคิดเบื้องต้น ที่จะต้องมีการปรึกษาหารืออีกมากมาย เพียงในวันนี้ เราต้องเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับเรื่อง Social Growth กันได้แล้ว
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี