สื่อหลายสำนัก กำลังพยายาม “สร้างประเด็น” ว่า สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ส่วนหนึ่งเป็น “กบฏ”
ที่สำคัญ พยายามลากโยงไปให้คนรู้สึกว่า “มันไปจับมือกับพรรคฝ่ายค้าน” และเหมือนๆ จะย้ำอย่างยิ่งว่าเป็น “พรรคก้าวไกล” ซึ่งเดิมก็คือ “พรรคอนาคตใหม่”
มนุษย์ประเภทการเมืองต้องแยกขั้วแยกข้างกันให้รู้เรื่อง ไม่เกลือกกลั้ว ไม่เกี่ยวข้อง ก็ขนลุกซู่ ด่าทอ สาปแช่งหาว่าไม่มีจุดยืนบ้างละ เสื่อมบ้างล่ะ โดยไม่ได้ถกเถียงกันในประเด็นว่า สส.ประชาธิปัตย์กลุ่มนี้ ไปร่วมลงชื่อกับพรรคฝ่ายค้านด้วย “เรื่องอะไร” เพื่อ “นำไปสู่อะไร”
เพื่อให้เข้าใจเรื่องนี้ อ่านข่าวนี้กันก่อนครับ แนวหน้าออนไลน์รายงานว่า เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 8 กันยายน 2563 ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมกันนำรายชื่อสส.99 คน มายื่นต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะประธานรัฐสภา เพื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 272 ว่าด้วยการยกเลิกการให้สว.ร่วมลงมติในที่ประชุมรัฐสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรี
นายชวน กล่าวว่า ตามขั้นตอนจะต้องมีการตรวจสอบองค์ประกอบของญัตติเพื่อพิจารณาความชอบด้วยกฎหมาย หากไม่มีปัญหาจะสามารถบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภาได้ใน 15 วัน ซึ่งขณะนี้ได้มีการบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านไปก่อนหน้านี้ โดยจะมีการพิจารณาในระหว่างวันที่ 23-24 ก.ย.นี้ ทั้งนี้คิดว่าหากไม่มีปัญหาใดๆจะสามารถพิจารณาได้พร้อมกัน
ด้านนายพิธา กล่าวว่า สส.ที่ร่วมลงชื่อ มีจำนวน 99 คน มาจาก 13 พรรคการเมืองโดยไม่มีสส.พรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ ร่วมลงชื่อ แต่มีสส.พรรคประชาธิปัตย์ร่วมลงชื่อด้วย เชื่อว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะได้รับการพิจารณาในวันที่ 23-24 ก.ย.นี้ นอกจากนี้มั่นใจว่าจะไม่มีสว.คนใดขัดขวาง เนื่องจากทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า การแก้ไขมาตรานี้จะเป็นทางออกให้กับประเทศ
ขณะที่นายสาทิตย์ กล่าวว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากความเห็นพ้องร่วมกัน ที่จะให้มีการแก้ไขในเรื่องการให้สว.เลือกนายกฯเพียงประเด็นเดียว ซึ่งการดำเนินการของสส.พรรคประชาธิปัตย์เป็นเอกสิทธิ์ที่สามารถทำได้ แม้ว่าสส.พรรคประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่ได้ร่วมลงชื่อในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาลไปก่อนหน้านี้ โดยการแก้ไขมาตรานี้จะเป็นการยกเลิกการสืบทอดอำนาจ อย่างไรก็ตามพวกเราจะเข้าไปชี้แจงต่อที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป และคิดว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะเข้าใจการดำเนินการในครั้งนี้ เนื่องจากหัวหน้าพรรคเคยแสดงความคิดเห็นสนับสนุนการแก้ไขมาตรา 272
นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกลกล่าวว่า หากมีการยกเลิกมาตรา 272 จะทำให้กระบวนการได้มาซึ่งนายกฯเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแบบเดิมคือ ให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เสนอชื่อและเลือกนายกฯจากบัญชีรายชื่อผู้เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯของพรรคการเมืองที่เสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง และหากสภาผู้แทนราษฎรเลือกไม่ได้ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้สภาฯเลือกนายกฯคนนอกต่อไป
เมื่อเข้าไปสังเกตเฟซบุ๊คของ สส.บางท่านของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยเป็นแนวร่วมอย่างชัดเจนกับ “สาทิตย์” พบว่า นักการเมืองหญิงสองคน แสดงความคิดเห็นว่า
“เคารพการตัดสินใจของทุกท่านในพรรคที่เซ็นฉบับนี้
แต่ (ชื่อ) ไม่เซ็นเพราะเหตุผลที่ร่างนี้ไปร่วมกับพรรคที่มีความคิดที่เราไม่ปลื้มอย่างแรง...
#ปวดหัวตึ๊บเลย”
อีกคนกล่าวว่า...
#(ชื่อ)ไม่เซ็นร่วมกับพรรค (เครื่องหมายหัวใจสีส้ม)
#ไม่เห็นด้วย_สว_เลือกนายกรัฐมนตรีก็ตั้ง_สสร_เดินหน้าทบทวน
#เคารพในการตัดสินใจของเพื่อนๆทุกๆท่าน
#พรรคเดียวกันคิดต่างกันได้
#ความสวยงามของประชาธิปไตย
ขณะที่ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในผู้ร่วมลงชื่อ ได้โพสต์เฟซบุ๊คไว้ล่วงหน้าว่า
“สถานะเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน แต่ จุดยืนไม่เคยเปลี่ยน “ขอแค่ประชาธิปไตยปกติ”
...ย้อนไปเมื่อวันลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 (7 สิงหาคม 2559) ผมในฐานะประชาชน คิดไม่ตกกับการรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เนื่องจากบางมาตราก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักของ “นิติรัฐ - นิติธรรม” แต่ก็มีในบางส่วนบางตอนไม่เข้าหลักการนี้ คำถามของผมคือ รัฐธรรมนูญดีพอไหม + สว.ควรมีอํานาจในการเลือกนายกไหม ? ผมจึง VOTE NO ทั้งสองคำถามในการประชามติครั้งนี้
...วันนี้ 4 ปี ผ่านไป วันนี้ ทำให้ผมต้องหวนกลับมาพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งในสถานะของ “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ 60 ผมก็ยังยืนหยัดจุดยืนเดิมดังที่ผมได้แถลงข่าวร่วมกับเพื่อนสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บางส่วน “ว่าร่างรัฐธรรมนูญเพียงฉบับเดียวไม่พอต่อการแก้ไขสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน แต่ต้องแก้ไขมาตรา 272 เพิ่มเติม เพื่อลดอำนาจของ สว. ในการโหวตนายกรัฐมนตรี และยับยั้งการสืบทอดอำนาจ” คำตอบของผม รัฐธรรมนูญดีไม่พอ + สว.ไม่ควรมีอํานาจในการเลือกนายกอย่างแน่นอน.
...สถานการณ์ในวันนั้นยุค คสช. ประชาธิปัตย์ถูกระงับบทบาททางการเมือง ทำให้พรรคการเมืองไม่สามารถมีส่วนร่วมในการออกแบบและแสดงความเห็นต่อรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ แต่ในวันนี้เราเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลที่มีหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการหาทางออกให้กับประเทศ ซึ่งในวันนี้ปัญหาของประเทศไทยมิใช่มีเพียงแค่ปัญหาของรัฐธรรมนูญแต่วันนี้ยังมีอีกสิ่งที่สำคัญคือปัญหา “ปากท้องของประชาชน” ที่รัฐบาลต้องรีบแก้ไข ผมคิดว่าเราควรถอยกันคนละก้าวเพื่อให้ประเทศเราเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคงต่อไป
...สถานะเปลี่ยน - วันนั้นในฐานะประชาชน 1 ใน 70 ล้าน ส่วนวันนี้ในฐานะผู้แทน
...สถานการณ์เปลี่ยน - วันนั้นที่ประชาธิปัตย์ถูกระงับบทบาททางการเมืองยุค คสช. ส่วนวันนี้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
...คําตอบวันประชามติเป็นยังไง วันนี้ก็เหมือนเดิม
...บางคนเรียกกบฏ บางคนเรียกจุดยืน
...“ผมแค่อยากได้ประชาธิปไตยปกติ”
ด้าน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ระบุว่า... ไม่ใช่กบฏหรอก
• ผมฟังข่าวมีสส.พรรคประชาธิปัตย์หลายท่าน(ไม่ทราบจำนวนเท่าไหร่) ลงชื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 (มาตรา 272 เป็นเรื่องการให้อำนาจสว.250 คน ที่มาจากการแต่งตั้งเลือกนายกรัฐมนตรีได้)
• ผู้ลงชื่อแก้ไขตัดมาตรา 272 แถลงทำนองว่า ท่านคือ กบฏของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคฯมีมติให้ตั้ง ส.ส.ร.มาแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนส.ส.ร. จะแก้อย่างไรก็แล้วแต่ส.ส.ร. ก็เท่ากับมอบอำนาจที่ประชาชนให้มา ไปให้คนอื่นใช้อำนาจนั้นแทนอีกทอดหนึ่ง ก็ดูแปลกๆ อยู่
• ผมว่า ท่านที่ขอแก้ ม.272 ไม่ใช่กบฏหรอก เพราะตอนหาเสียงเลือกตั้ง พรรคก็ประกาศไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และตอนนั้นพรรคก็ให้เหตุผลว่า มาตรา 272นี่แหละทำให้“ประชาธิปไตยวิปริต” เพราะเป็นการสืบทอดอำนาจผ่านทางสว.ส่วนจะสืบทอดอำนาจให้ใครก็แล้วแต่จะคิดกันไป น่ายินดีที่สว.หลายท่านก็ยินยอมที่จะตัดอำนาจของตนเอง นับว่าน่ายินดี ต้องขอบคุณท่านสว.เหล่านั้น
• การที่ท่านลงชื่อตัดมาตรา 272 จึงเป็นการ ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ต่อประชาชน หากใครถือว่ากบฏต่อพรรค แต่จงรักภักดีต่อคำมั่นสัญญาที่มีต่อประชาชน ผมว่าการเลือกซื่อตรงต่อประชาชนน่าจะมีเหตุผลกว่า ส่วนจะแก้ได้หรือไม่ได้ ก็สามารถบอกประชาชนได้ว่า ท่านได้พยายามทำตามจุดยืนที่ประกาศไว้แล้ว
ผมเองเห็นด้วยกับคุณนิพิฏฐ์ และคิดว่า สส.ที่ร่วมลงชื่อนี้ “ก้าวข้ามเงื่อนไข” บ้าๆ บอๆ เรื่องใครอยู่พรรคไหน ไปที่ “หัวใจของเรื่อง” คือ การทำรัฐธรรมนูญให้กลับมาสู่สภาพประชาธิปไตยที่ควรจะเป็นให้เร็วที่สุด และเป็นจุดที่ “หัวหน้าพรรค” คนปัจจุบัน เคยพูดบนเวที “ปฏิญญาทุ่งสง” ช่วงปราศรัยหาเสียงว่า มาตรานี้แหละที่ทำให้เกิดภาวะ “ประชาธิปไตยวิปริต”
อย่างน้อย บัดนี้ก็มี “ลูกพรรค” ที่พร้อมลงชื่อแก้ไขให้มัน “หายวิปริต” ให้เร็วที่สุดแล้ว โดยไม่ “หมายน้ำบ่อหน้า” ไม่จำนนต่อคำว่า “พรรคร่วมรัฐบาล” เพื่อให้บ้านเมืองนั้น เป็น “ประชาธิปไตยสุจริต”เร็วเท่าที่จะทำได้ทันที
ปรบมือให้ สส. “กบฏ” เหล่านี้ครับ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี