หนึ่งในเหตุผลที่ถูกหยิบยกขึ้นมาสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญในขณะนี้ คือ จะช่วยปลดชนวนการเคลื่อนไหวนอกสภา ให้ยุติลง หรือบรรเทาลง ลดเงื่อนไขความวุ่นวายในบ้านเมือง
น่าคิดว่า จริงหรือไม่?
แล้วมันคุ้มหรือไม่ กับต้นทุนที่จะต้องจ่าย กับสิ่งที่จะได้มา?
1. ถามว่า รัฐธรรมนูญแก้ไขได้หรือไม่?
แน่นอนว่า สามารถแก้ไขได้
ถ้าแก้ไม่ได้เลย คงจะไม่มีช่องทางไว้ในรัฐธรรมนูญว่า หากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องกระทำอย่างไร
ดังนั้น ที่ควรต้องพิจารณากันอย่างตรงไปตรงมา คือ ควรแก้หรือไม่? แก้อย่างไร? แก้ประเด็นใด? เพราะอะไร? สมเหตุสมผลหรือไม่? ถ้าแก้แล้วกลับไปเป็นรัฐธรรมนูญในอดีต แล้วปัญหาแบบเดียวกับในอดีตจะ
ไม่กลับมาอีกหรือ?
2. การชุมนุมของกลุ่มประชาชนปลดแอก-กลุ่มเพนกวินที่นัด 19 ก.ย. ประกาศข้อเรียกร้องชัดเจนว่า ไปไกล และมากกว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญมาก
ทั้งเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ การโจมตีอย่างรุนแรงโดยปราศจากพยานหลักฐาน
การเรียกร้องให้เผด็จการออกไป ให้พลเอกประยุทธ์ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน
การให้หยุดคุกคามประชาชน โดยผูกโยงการหายตัวไปในต่างประเทศของนักกิจกรรมบางคน นำไปโจมตีสถาบันอย่างไม่เป็นธรรม โดยปราศจากหลักฐานที่น่าเชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ฯลฯ
ถามจริงๆ ว่า ต่อให้แก้รัฐธรรมนูญแล้ว หากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ยังทำหน้าที่บริหารประเทศต่อไป ฝ่ายผู้ชุมนุมจะยุติการเคลื่อนไหวอย่างนั้นหรือ?
ถ้าไม่ ก็ตัดข้อสนับสนุนการแก้ไขที่อ้างว่า เพื่อ
3. สว.คำนูณ สิทธิสมาน คำนวณว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบยกร่างใหม่ทั้งฉบับโดย ส.ส.ร.นั้น อย่างน้อยจะ ต้องผ่านการลงประชามติ 2 ครั้ง และต้องมีการเลือกตั้ง ส.ส.ร.โดยตรง 1 ครั้ง และถ้ารวมกับข้อเสนอว่าเมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วให้มีการยุบสภา เพื่อเลือกตั้งสส.ตามกติกาใหม่ก็จะต้องใช้งบประมาณแผ่นดินทั้งสิ้นประมาณ 15,000 ล้านบาท
แต่ถ้านับเฉพาะกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่เท่านั้น ก็จะเหลือ 11,000 ล้านบาท
ไม่นับค่าใช้จ่ายของ ส.ส.ร. 200 คน และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการรับฟังความคิดเห็นประชาชนทุกจังหวัดและเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญอย่างทั่วถึง นั่นเป็นเงินที่จะต้องใช้ภายใน 18 เดือน ในช่วงกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
4. ล่าสุด รัฐบาลชี้แจงว่า เฉพาะการทำประชามติ ก็ครั้งละประมาณ 5,000 ล้านบาท
พูดง่ายๆ ว่า ถ้ายังใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดิมต่อไปพลางๆ จนกว่าจะหมดวาระตามบทเฉพาะกาลที่ผ่านประชามติกว่า 15 ล้านเสียง แล้วเอาเงิน15,000 ล้านบาทนี้ไปจ่ายเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิดอีกรอบ ก็จะมีคน 1 ล้านคน ได้รับการช่วยเหลือคนละ 15,000 บาท
หรือถ้าเอาไปจ่ายเป็นทุนการศึกษาให้เยาวชนนักเรียนนักศึกษา คนละ 5,000 บาท ก็จะได้ถึง 3 ล้านคน
หรือถ้าเอาไปช่วยโรงพยาบาลแบบโครงการก้าวคนละก้าวของพี่ตูน
ก็จะช่วยโรงพยาบาลได้มากกว่า 110 แห่ง
5. กลุ่มไทยภักดี นำโดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ออกโรงคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงเวลานี้ โดยออกแคมเปญว่า ถามประชาชนหรือยัง? โดยได้เปิดให้ลงชื่อร่วมแสดงการคัดค้าน มีผู้มาร่วมลงรายชื่อแสดงพลังจำนวนนับแสนคน ขณะนี้ ยังไม่สามารถยืนยันจำนวนที่แน่ชัด เพราะยังไม่ปิดลงชื่อ และปรากฏว่า มีคนเข้ามาป่วน ทางกลุ่มจึงต้องคัดรายชื่อป่วนทิ้งออกไปเสียก่อน
แต่ที่แน่ๆ คือ ได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างคึกคัก
เหตุผลที่กลุ่มนี้คัดค้านการแก้รัฐธรรรมนูญ ได้แก่
“1.รัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติ 16.8 ล้านเสียง
2.นักการเมืองอ้างว่า ประเทศมีปัญหาเศรษฐกิจ ประชาชนยังอดอยาก ขนาดเรือดำน้ำ ปีละ 3,000 ล้านบาท 7 ปี ยังไม่ให้ซื้อ แต่แก้รัฐธรรมนูญใช้เงิน 15,000 ล้านบาท ท่านถามประชาชนหรือยัง
3.กรณีสว. ต้องยอมรับว่า ผ่านประชามติมา เพราะอย่างไร สว.ต้องเลือกพรรคที่รวบรวมเสียงข้างมากได้เป็นนายก ที่สำคัญอีกสามปีเศษ บทเฉพาะกาลจะหมดอายุ จะได้สว.จากกลุ่มอาชีพ ที่ปราศจากการครอบงำจากพรรคการเมือง
4.มีความเสี่ยงที่พรรคการเมืองบางพรรค จะอภิปรายไปถึงหมวดหนึ่ง เรื่องความเป็นรัฐเดี่ยวและหมวดสอง ที่เกี่ยวกับสถาบันเบื้องสูง และใช้เวทีสภาปลุกระดม
5.การแก้ครั้งนี้มีแต่ประโยชน์ของนักการเมือง”
6. อย่างไรก็ตาม ล่าสุด สว.คำนูณ สิทธิสมาน ที่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้ยืนยันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ จะไม่สามารถทำได้ หากประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย เพราะจะต้องผ่านประชามติอย่างแน่นอน
ระบุว่า การแก้รัฐธรรมนูญ ตั้งส.ส.ร. คำตอบอยู่ที่ประชาชน 51.2 ล้านคน!ไม่ใช่แค่สส./สว. 750 คน
“...เรื่องนี้ต้องไปถามประชาชนผ่านการออกเสียงประชามติอยู่แล้ว และเพราะเหตุนี้แหละ ผมจึงตัดสินใจได้ไม่ยากนักว่าจะโหวตในวันที่ 24 กันยายนเห็นชอบกับญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้มีการตั้งส.ส.ร.
ขออนุญาตย้ำข้อมูล ณ ที่นี้อีกครั้งว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 256 ให้ตั้งส.ส.ร.ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ไม่ได้จบลงที่ผลโหวตในรัฐสภา
แต่มีกระบวนการบังคับที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงเป็นอื่นได้ ต้องนำไปถามให้ประชาชนตัดสินใจตอบโดยตรงผ่านการออกเสียงประชามติก่อนว่าจะเห็นชอบด้วยหรือไม่ ถ้าคำตอบออกมาเป็นว่าเห็นชอบด้วย การแก้รัฐธรรมนูญให้ตั้งส.ส.ร.จึงจะมีผล ถ้าคำตอบออกมาเป็นว่าไม่เห็นชอบด้วย ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะตกไป ไม่มีส.ส.ร. ไม่มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
โดยประชาชนที่จะตอบคำถามนี้ก็ไม่ใช่แค่ 16.8 ล้านคนที่ลงมติเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญ 2560 เมื่อ 4 ปีก่อนเท่านั้น แต่เป็นการถามประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั้งหมดราว 51.2 ล้านคน (ตัวเลขโดยสังเขปจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด 24 มีนาคม 2562)
นี่แหละคือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้ผมตัดสินใจว่าจะโหวตเห็นชอบกับญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ให้มีการตั้งส.ส.ร.เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ทั้งที่ก็เห็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน แต่ไม่อาจหาเหตุผลใดมาตอบคำถามได้จริงๆ ว่าเหตุใดจึงจะต้องไปโหวตคัดค้านตั้งแต่ต้นในรัฐสภาทั้งๆ ที่คำตอบสุดท้ายอยู่ที่ประชาชนทั้งประเทศ
ในเมื่อผมยอมรับผลการประชามติ 7 สิงหาคม 2559 เห็นชอบกับรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วยเสียง 16.8 ล้านเสียง และนำไปกล่าวอ้างเสมอมาว่าเป็นการตัดสินใจโดยตรงจากประชาชน เป็นความถูกต้องชอบธรรมที่จะ
ล้มล้างกันง่ายๆ ไม่ได้
...ไม่เพียงแต่เท่านั้น ญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีการตั้งส.ส.ร.หากผ่านประชามติจากประชาชนแล้ว ยังจะต้องมีการเลือกตั้งส.ส.ร.โดยตรงทั่วประเทศอีก 150-200 คน และหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้วยังอาจจะต้องไปทำประชามติอีกครั้งหนึ่ง
สรุปรวมความได้ว่า แม้รัฐสภาจะลงมติเห็นชอบกับญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้ตั้งส.ส.ร. แต่จะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ต้องผ่านกระบวนการให้ประชาชน 51.2 ล้านคนมาลงคะแนนลับหย่อนลงหีบบัตรเลือกตั้งอีกรวมแล้ว 2-3 ครั้ง
ไม่ได้จบที่ผลโหวตในรัฐสภาโดยสส./สว. 750 คนเท่านั้น
ประชาชน 16.8 ล้านคนที่ลงมติเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญ 2560เมื่อ 4 ปีก่อนได้สิทธิตอบแน่นอน”
7. สุดท้าย หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ดำเนินการตามกระบวนการของรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้อง
และผ่านการรับฟังความเห็น และตัดสินใจร่วมกันของคนทั้งประเทศ
มิใช่ดำเนินการไปเพียงเพื่อลดกระแสการชุมนุม หรือเพื่อสนองผลประโยชน์ของนักการเมืองที่ต้องการแบ่งกันเป็นรัฐบาล ต้องการกติกาที่คิดว่าพวกตนจะชนะ ได้เป็นรัฐบาลบ้าง
ประชาชนในสังคม ก็พึงพิจารณากันด้วยเหตุด้วยผล โดยสันติ คิดถึงบ้านเมืองส่วนรวมเป็นสำคัญกว่าการเอาชนะคะคานกัน
ส่วนจะแก้ไขสำเร็จหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรจะมีใครอ้างตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตยอยู่ข้างเดียว แล้วกล่าวหาผู้อื่นว่าเป็นพวกเผด็จการ เป็นสลิ่ม เป็นไดโนเสาร์แล้วปั้นข่าวเท็จมาปลุกระดมใส่ร้ายสุมไฟในบ้านเมือง เร่งเร้าความเกลียดแค้นชิงชังของผู้คนให้มีต่อฝ่ายตรงข้าม ต่อทหาร ต่อสถาบันสำคัญ หรือต่อคนที่เลือกพรรคการเมืองต่างจากพวกตน
พฤติกรรมแบบนี้ ต่อให้ไปแก้รัฐธรรมนูญมากี่ครั้ง ก็แก้สันดานไม่ได้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี