เมื่อวันที่ 15 ก.ย. แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง กล่าวประเมินสถานการณ์การชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย.นี้ว่า การชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย. นั้น ทางเจ้าหน้าที่คาดว่าจะมีมวลชนเดินทางมาร่วมชุมนุมประมาณ 50,000 คน เพราะครั้งแรกที่มีการจัดชุมนุมที่ ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต มีคนมาเข้าร่วมประมาณ 10,000 คน
ส่วนครั้งที่สองที่ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีคนมาร่วมชุมนุมประมาณ 30,000-40,000 คน แต่ครั้งนี้จะมีกลุ่มมวลชนของพรรคการเมือง และกลุ่มคนเสื้อแดงจากต่างจังหวัดหลายจังหวัด อาทิ ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ ราชบุรี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี
รวมถึงมวลชนในพื้นที่ภาคเหนือ และ ภาคอีสานบางส่วนเดินทางเข้ามาร่วมสมทบใน กทม.ด้วย ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงเด็กๆ เยาวชนนักเรียนนักศึกษา แต่เป็นคนมีอายุจนถึงผู้สูงอายุ ทั้งนี้เชื่อว่าไม่มีการปะทะกันให้รุนแรง เพราะทางเจ้าหน้าที่จะเน้นเจรจาพูดคุย และจะล็อกเป้าไว้ที่แกนนำเท่านั้น โดยคาดว่าการชุมนุมจะไม่ยืดเยื้อและน่าจะเป็นไปตามที่แกนนำวางแผนไว้
ผมเองเห็นด้วยกับการประเมินนี้ ว่ามวลชนที่จะมา“ไม่ลดลง” แน่ มีแต่จะเพิ่มขึ้น ตามบรรยากาศที่โหมกระพือเข้าใส่กัน ยิ่งมีข่าวว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่อนุญาตให้จัดชุมนุมในธรรมศาสตร์ด้วยแล้ว การต้องออกมาแสดงพลัง “ดื้อแพ่ง-ทวงสิทธิ์” ยิ่งถูกท้าทาย
แต่ทำไมฝ่ายความมั่นคง จึงประเมินว่า “จะมีคนเสื้อแดงมาร่วมด้วย”
ลองหาคำตอบจากบทวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์ “ข่าวสด” ซึ่งเป็นแนวร่วมทางหนึ่งดูก็ได้ครับ ข่าวสดเสนอบทวิเคราะห์ไว้ในเว็บไซต์ว่า
“ยิ่งใกล้ 19 กันยา ทวงอำนาจ คืนราษฎร เท่าใดยิ่งมีการจับตา “คนเสื้อแดง”
หากติดตามผ่านโซเชียล ออนไลน์ จะสัมผัสได้ในความคึกคักของ “คนเสื้อแดง” หลายคนเตรียมซักเสื้อแดงที่เก็บไว้นานปีเพื่อนำออกใส่ในวันเสาร์ที่ 19 กันยายน อีกครั้งหนึ่ง ยิ่งมีเสียงจาก นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ประสานกับเสียงจาก นายอานนท์ นำภา ยิ่งทำให้การเชื่อมระหว่าง “เยาวชนปลดแอก” กับ “คนเสื้อแดง” ยิ่งแนบชิด การจับตา “คนเสื้อแดง” จึงมีความสำคัญ
ต้องยอมรับว่าระหว่าง “คนเสื้อแดง” กับ “เยาวชนปลดแอก” เป็นคนละรุ่น คนเสื้อแดงเติบโตมากับความไม่พอใจที่มีการรุกไล่และทำลายล้างพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และโดยเฉพาะต่อ นายทักษิณ ชินวัตร คนเสื้อแดงเติบโตมาจากรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 คนเสื้อแดงประสบชะตากรรมอย่างใหญ่หลวงเมื่อออกมาชุมนุมในเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 และถูกล้อมปราบอย่างโหดร้ายใจกลางเมืองหลวง ในยุค “คนเสื้อแดง” นั้นบรรดา “เยาวชนปลดแอก” ยังไม่เกิด ยังไม่รู้เรื่อง
ต้องยอมรับว่า “เยาวชนปลดแอก” ผ่านรัฐประหารมาแล้วถึง 2 ครั้ง พบเห็นการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก่อนรัฐประหารปี 2549 พบเห็นการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนกปปส.ก่อนรัฐประหารปี 2557 หลายคนพ่อแม่เคยพาเข้าร่วมใน “ม็อบ” ความรู้สึกต่อ “คนเสื้อแดง” จึงไม่สู้ดีนัก แต่เมื่อได้สัมผัสกับความล้มเหลวจากกระบวนการรัฐประหารและตีฝ่ามายาคติต่อ “คนเสื้อแดง” จึงค่อยเข้าใจ และได้ยกป้าย “ขอโทษ” ต่อเหล่า “คนเสื้อแดง”
คําขอโทษต่อ “คนเสื้อแดง” สร้างความประทับใจเป็นอย่างมากทางการเมือง
นี่คือมูลเชื้อที่ทำให้ทั้ง นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ทั้ง นายอานนท์ นำภา แสดงความมั่นใจว่า “คนเสื้อแดง” กับ “เยาวชนปลดแอก” จะประสานและร่วมมือกันใน 19 กันยา ทวงอำนาจ คืนราษฎร”
และชัดเจนมากขึ้น ถึงการสมาทานอุดมการณ์เข้าด้วยกันได้ ระหว่าง “ประชาชนปลดแอก” กับ “คนเสื้อแดง”เมื่ออ่านข่าวนี้
“...27 ส.ค. 2563 เวลาประมาณ 6 โมงเย็น ในงานมหกรรมประชาชน นอนแคมป์ไม่นอนคุก จัดชุมนุมแบบอุ่นไอราษฎร์ ผสานเครือข่ายการต่อสู้ มุ่งสู่ศัตรูคนเดียวกัน ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ผุสดี งามขำ ตัวแทนคนเสื้อแดงฉายา “เสื้อแดงคนสุดท้าย” กล่าวขอโทษเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่ตนเคยดูถูกว่าคนรุ่นใหม่ไม่สนใจการเมือง
“วันนี้มาในฐานะตัวแทนของคนเสื้อแดงเพื่ออยากมาขอโทษเด็กๆ เยาวชนที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ที่เคยดูถูกว่า เด็กสมัยนี้ไม่สนใจการเมือง ได้แต่เที่ยวเล่น ดูหนัง ช็อปปิ้ง เล่นเกม ไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร แล้วเราจะฝากอนาคตของบ้านเมืองไว้กับเขาได้อย่างไร พอยิ่งดูม็อบที่เกิดขึ้นในฮ่องกง ก็ยิ่งรู้สึกเสียใจว่าทำไมเด็กของเราถึงตื่นตัวทางการเมืองสู้เด็กของเขาไม่ได้ จนมาถึงวันนี้ก็อยากจะกล่าวขอโทษที่เราเคยดูถูกพวกคุณ” ผุสดีกล่าว
ผุสดียังกล่าวถึงเพื่อนคนเสื้อแดงพร้อมกับชูผ้าโพกหัวที่เขาได้เตรียมไว้ประกอบการปราศรัยอีกว่า
“เพื่อนยังจำได้ไหมในวันที่เราสู้ เราสู้เพื่ออะไร ในช่วงเคลื่อนไหวคนเสื้อแดงไม่ได้ใช้กระดาษเหมือนคนรุ่นใหม่เหมือนตอนนี้ แต่เราจะแสดงออกจากเสื้อผ้าที่เราใส่ หรือผ้าโพกหัว เช่น เอาความยุติธรรมกลับคืนมา, ปกป้องประชาธิปไตย, ลมหายใจที่ไม่แพ้, กูทำอะไรก็ผิด, หยุดสองมาตรฐาน, อย่าเพิ่งยิงกูเพิ่งมา, ต่อต้านเผด็จการ ปกป้องประชาธิปไตย...”
“ถ้าพวกเรามีแรงยังไม่ตายยังส่งเสียงได้ อย่าทอดทิ้งพวกเด็กๆ เพราะเขาจะเป็นคนที่จะนำความหวังของพวกเราให้ไปถึงจุดหมาย” ผุสดีกล่าวบนเวทีปราศรัย หลังจากนั้นเพื่อนเสื้อแดงได้เข้าโอบกอดผุสดีข้างเวที...”
ซึ่งประเด็นของผุสดีนี้ ลึกซึ้ง แหลมคม และกินใจมากนะครับ
ที่จริง ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “คนเสื้อสีใด” เป็นหลักเลย แต่ประเด็นร่วมกันของคนที่มาร่วมกันคือ
1) เลือกวันที่ 19 กันยายน เพื่อรำลึกถึง “การรัฐประหาร” ภายใต้แนวคิด “โค่นล้มประชาธิปไตย” รัฐประหารยุค“บิ๊กบัง”พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน เกิดขึ้นในช่วงที่“ระบอบทักษิณ” ของคนฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็น “ประชาธิปไตยกินได้และรุ่งเรืองมาก” ของคนกลุ่มหนึ่ง ถูกโค่นลง ด้วยข้อหาทุจริตมาก จาบจ้วง เกิดความแตกแยกของคนในชาติ ทว่า รัฐประหารก็ไม่ได้เข้ามา “แก้ปัญหาอะไร” ที่ส่งผลให้ “ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน” ดีขึ้น ซึ่งแน่นอน ถูกเลือกไม้บรรทัดวัดที่ “ดีกว่าสมัยทักษิณ” การรัฐประหารจึงอธิบายตัวเองไม่ได้ ว่าดีต่อคนส่วนใหญ่อย่างไร
2) รัฐบาลปัจจุบัน ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เป็น “เป้าของการโจมตี” ก็มาจากคณะรัฐประหาร ที่ไม่ “หยุด” ไม่ “พอ” ในการได้ใช้อำนาจในฐานะรัฏฐาธิปัตย์นานถึง 6 ปี (เกินสมัยของรัฐบาล 1 รัฐบาล) โดยที่ไม่อาจอธิบายถึงประสิทธิภาพที่เกิดขึ้น ว่า เมื่อใช้เครื่องมือนี้ เข้าแก้ปัญหาบ้านเมืองแล้ว บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างไร นอกจากลมปากของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่พูดถี่ยิบตอนหาเสียงเลือกตั้ง หนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ว่า “การปฏิรูปที่เราเรียกร้องนั้น เราได้มากกว่าที่เราขอ”ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ทำให้นายสุเทพหวนกลับสู่สภาพ “นักการเมืองจรกา” ดังเดิม ก่อนที่จะมาเป็นวีรบุรุษในยุคเป่านกหวีด
3) หนักสุดคือการ “ปูทาง” สู่การมีอำนาจหลังการเลือกตั้ง ด้วยนวัตกรรมทางกฎหมายประเภทตัด-ต่อ-เติมเพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีโอกาสสูงสุด มากกว่าใครในการแข่งขั้น ได้มีโอกาส “เป็นนายกฯ” แน่ โดยเฉพาะมาตรา 272 ที่ให้ สว.เลือกนายกฯ ร่วมกับ สส. โดยที่ที่มาของ สว. นั้น มิได้มีความเป็นประชาธิปไตยเท่ากับ สส. คือ มาจากการเลือกของ คสช. ซึ่งมีความอัปรีย์หลายประการแทรกอยู่โดยเฉพาะ การที่กรรมการคัดสรร สว. เลือกกรรมการด้วยกันเองมาเป็น สว. กับเขาด้วย และมีการเสนอให้ สว. เลือกนายกฯ ได้ตามมา ในเวลาที่รู้กันทั่วแล้วว่า จะมีการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ให้เป็นนายกฯ ต่อ โดยกรรมวิธีตั้งพรรคการเมืองขึ้นมารองรับ และให้เสนอชื่อในบัญชีที่ส่งต่อ กกต. ดูเผินๆ เหมือนแข่งขันเท่าเทียมกัน แต่ สว. ที่เตรียมไว้ และให้โหวตนายกฯ ด้วยนั้น คือการ “ซื้อประกัน” ด้วยเงินของประชาชนเอาไว้แล้วใช่หรือไม่
4) พอดีว่า คนเสื้อแดงเขามีจุดยืนเรื่อง “ต้านรัฐประหาร” อยู่ก่อนแล้ว มันจึง “เข้ากันได้” กับการเรียกร้องของกลุ่มที่เคลื่อนไหวในปัจจุบัน ครั้นไปดึงเอาวันที่ 19 กันยายน มาเป็นสัญลักษณ์ของวันชุมนุม คนเสื้อแดง กับประชาชนปลดแอดจึง “สมาทาน” เข้าด้วยการ ผ่านระดับนำหลายคน ที่ก็เป็นคนเสื้อแดงหรือนิยมเสื้อแดงมาก่อนนั่นแหละ
5) ยิ่งพรรคฝ่ายเสื้อแดง ที่แม้ครั้งหนึ่ง จะยกมือตอนตีสี่ ให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผ่าน ฝังกลบความตายและการได้รับความยุติธรรมแก่คนเสื้อแดง ด้วยการไม่เอาผิดคนฆ่า อย่างสารเลวมาแล้วก็ตาม ก็ได้จังหวะนี้ ร่วมไล่ตีรัฐบาลที่ “มีแผล” ติดตัวอยู่ ด้วยการเปิดอภิปรายทั่วไปในสภา อุ่นเครื่อง และเรียกแขกด้วย นพ.ชลน่าน สีแก้ว ที่พูดถึง “ยุทธการมัฆวานรังสรรค์” ปั่นกระแสนำทางมา พอมาเจอธรรมศาสตร์ไม่อนุญาต มาเจอแก้วสรร อติโพธิ ออกมาคัดค้านการอนุญาต ให้ใช้พื้นที่ธรรมศาสตร์ เป็นสถานที่จัดการชุมนุมเข้าด้วย แรงหนุนให้ “ต้องมา” ก็ยิ่งมาก
ผมคิดว่า “รัฐ” ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพคู่กรณี หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตาม ยังคงมีหน้าที่ต้องดูแลให้การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย และ “ปลอดภัย” ส่วนการลดแรงเสียดทานเรื่องข้อเรียกร้องทั้งหลาย ก็ต้องทำตามมา ทำอย่างจริงใจ
การกดดันให้ สส.ประชาธิปัตย์ ไปถอนชื่อจากญัติแก้ไข ม.272 มันคือสัญลักษณ์ของความ “ไม่จริงใจ” ไม่พร้อมที่จะทิ้ง “กรมธรรม์ประกันชีวิตทางการเมือง” จึงไม่อาจให้ญัติแก้ไขรายมาตราซึ่งทำได้ง่ายกว่า เร็วกว่า ในการปิดสวิตช์ สว. เกิดขึ้น
ญัตินั้นจึงต้องตกไป แล้วไปหาทางพิรี้พิไร ซื้อเวลาผ่านการตั้ง ส.ส.ร.ต่อไป คำนวณเวลาแล้ว ทำมาทำไป รัฐบาลนี้อยู่ครบเทอม คำถามพ่วงที่เป็นบทเฉพาะกาล ก็หมดอายุลงเองในท้ายที่สุด ส.ส.ร. จึงเป็นเงื่อนไขที่ตั้งขึ้นเพื่อ “ซื้อเวลา” และตัดทอนความชอบธรรมของ “การชุมนุม” เท่านั้นเอง!!
ดูกันต่อไป ว่า 19 กันยายน ผู้ชุมนุมจะตั้งเงื่อนไขใหม่ที่แหลมคม หรือทำได้แค่เปิดเทปวนเป็นแผ่นเสียงตกร่องกับข้อเรียกร้องเดิมๆ เวียนจัดอีเว้นท์ซ้ำๆ เพื่อ“เลี้ยงกระแส” ไว้ให้แกนนำได้เกิด-เท่านั้น!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี