วันนี้เป็นวันที่ 30 กันยายน 2563 ตรงกับวันขึ้น 13 ค่ำเดือน 11 จึงเหลือเวลาอีก 31 วัน ก็จะถึงแห่งดอกโกมุทบานคือวันเพ็ญเดือน 12 ซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุดวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา คือเป็นวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอานาปานสติแก่พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายในท่ามกลางคืนพระจันทร์เพ็ญ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอริยสัจสี่เป็นปฐมเทศนา ดังปรากฏในธัมมจักกัปปวัตนสูตร ซึ่งทรงแสดงเกี่ยวกับทุกข์และความดับทุกข์ โดยในเรื่องทุกข์นั้นทรงแสดงเหตุแห่งทุกข์ และในเรื่องการดับทุกข์นั้นทรงแสดงมรรคเป็นวิถีปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์
และอริยมรรคดังกล่าวนั้นก็คืออานาปานสติ ซึ่งเป็น 1 ใน 36 กรรมฐานวิธีที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเพื่อความดับทุกข์ อานาปานสติจึงเป็นแบบแผนปฏิบัติหรือเป็นอริยมรรคเพื่อความดับทุกข์โดยตรงที่ทำให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น และนิพพาน อันเป็นที่หมายปลายทางสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภที่จะแสดงอานาปานสติตั้งแต่วันเพ็ญเดือน 8 ว่าสี่เดือนจากนี้ไปจักทรงแสดงอานาปานสติจึงเป็นพระธรรมบทเดียวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภก่อนการแสดงนานที่สุด ซึ่งหมายถึงการเตรียมการ การจัดระบบในการสอน และการปฏิบัติที่ละเอียดประณีตที่สมบูรณ์ที่สุด
พระองค์จึงทรงสรรเสริญอานาปานสตินี้เป็นอันมากว่าอานาปานสติที่เจริญให้มากแล้ว ทำให้มากแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ทำให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น และนิพพาน
และทรงยืนยันด้วยว่าแม้พระองค์เองก็มีปกติสถิตในอานาปานสติวิหาร ซึ่งหมายความว่าในปกติชีวิตประจำวันของพระองค์นั้นทรงเจริญอานาปานสติ ทรงยืนยันว่าแม้การตรัสรู้ก็ตรัสรู้ในอานาปานสติวิหาร แม้ถึงกาลดับขันธปรินิพพานก็ทรงดับขันธ์ในอานาปานสติวิหาร
ดังนั้นในโอกาสเวลาเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่ชาวพุทธทั้งหลายควรให้ความสนใจ ควรน้อมนำทำการศึกษาเพื่อรับเอาประโยชน์จากพระธรรมสำคัญนี้ในฐานะที่เป็นอริยมรรคหรือเครื่องมือเพื่อถึงซึ่งความบริสุทธิ์ ความดับสนิทแห่งทุกข์ และนิพพานโดยถ้วนหน้ากัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอานาปานสติไว้เป็น 4 ขั้นใหญ่โดยแต่ละขั้นก็มี 4 ขั้นย่อย รวมทั้งสิ้นเป็น 16 ขั้นย่อย ขอเพียงได้ศึกษาและปฏิบัติให้มาก เจริญให้มาก ไปตามลำดับขั้นที่ทรงแสดงเท่านั้นก็สามารถถึงที่หมายปลายทางตามกำลังความสามารถและความเพียรของตนๆ ได้
อานาปานสติขั้นที่หนึ่งมีชื่อว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐานประกอบด้วย 4 ขั้นย่อย แต่รวมความได้ว่าเป็นขั้นการศึกษาและปฏิบัติในเรื่องกายคือกายเนื้อ ได้แก่ร่างกายอันยาววาหนาคืบนี้และลมหายใจคือกายลม จึงได้ชื่อว่าเป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
กายเนื้อและกายลมสัมผัสกัน คนเราสามารถรับรู้ถึงการสัมผัสนั้นได้ และตัวที่รับรู้การสัมผัสนั่นแหละเชื่อมโยงไปถึงสิ่งที่เรียกว่าจิต ซึ่งเป็นหลักที่จะต้องศึกษาปฏิบัติต่อไปจนถึงที่สุด
ในขั้นศึกษาปฏิบัติเกี่ยวกับกายทั้ง 4 ขั้นตอนนั้นก็เพื่อสัมผัสรู้อย่างแจ่มแจ้งว่าลมหายใจนั้นเป็นเครื่องปรุงแต่งกายให้มีความรู้สึกต่างๆ ทางกายเป็นนานัปการ หรือที่เรียกว่ากองลมนั่นเอง และเมื่อศึกษาปฏิบัติจนรับรู้ถ่องแท้แล้ว ในขั้นปลายของขั้นนี้จึงทรงตรัสสอนให้ทำการปรุงแต่งกายนั้นให้สงบรำงับ ซึ่งหมายถึงเหลือเพียงแค่รู้จากการสัมผัสนั้นว่ามีลมหายใจเข้าออกอยู่เท่านั้น
อาการในขณะนี้ลมหายใจจะแผ่วบางเบามากจนแทบรู้สึกว่าไม่หายใจ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ไม่วอกแวกไปไหน นี่คือการทำกายสังขารให้สงบรำงับ
อานาปานสติขั้นที่สองมีชื่อว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานมี 4 ขั้นย่อยที่ต่อเนื่องมาจากขั้นปลายของกายานุปัสสนาสติปัฏฐานคือเมื่อส่วนกายสงบรำงับแล้วก็จะรับรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้นว่ามีสิ่งที่กระทบจิตหรือปรุงแต่งจิตอยู่ และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดมากมีอยู่สองชนิด
คือปีติซึ่งเป็นความกระเพื่อมไหวเบิกบาน ร่าเริง ที่กระทบกับจิตหรือปรุงแต่งจิตและในที่สุดก็จะเกิดความเบื่อหน่ายในความปรุงแต่งนั้น เพราะจะสัมผัสได้ถึงอีกอารมณ์หนึ่งซึ่งประณีตกว่านั่นคือความรู้สึกที่เรียกว่าสุขอันกระทบจิตอยู่เช่นเดียวกัน
จิตสัมผัสกับสุขซึ่งปรุงแต่งจิตอยู่นั้นก็ได้สัมผัสรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป อันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายเช่นเดียวกัน ดังนั้นในขั้นปลายของเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานจึงทรงสอนให้กำหนดให้การปรุงแต่งจิตนี้สงบรำงับไปนั่นก็คือจิตละออกจากการสัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าสุขนั้น และเพราะเหตุที่ปีติและสุขเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตหรือจิตตะสังขาร ดังนั้นในขั้นปลายของขั้นนี้จึงทรงสอนให้ทำจิตตะสังขารให้สงบรำงับ ภาวะที่สัมผัสและละเสียซึ่งปีติและสุขนั้นก็คือการบรรลุรูปฌานสี่นั่นเอง เพียงแต่ว่าในอานาปานสตินั้นมิได้สรรเสริญเรื่องของฌาน ซึ่งเป็นเรื่องในกรรมฐานวิธีจำพวกเจโตวิมุติ
อานาปานสติขั้นที่สามมีชื่อว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานมี 4 ขั้นย่อย สรุปรวมความว่าเป็นขั้นที่ทรงตรัสสอนให้ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับตัวจิตโดยตรง
เมื่อจิตละปีติและสุขสิ้นเชิงแล้วจิตนั้นก็มีความบริสุทธิ์ ปราศจากการปรุงแต่งจากภายนอกของจิต จึงเป็นขั้นตอนการพิจารณาสิ่งที่เกิดหรือเกาะกุมหรือแฝงอยู่ในจิตโดยตรง จึงได้ชื่อว่าจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือพิจารณาจิตในจิต เพราะบรรดาความเศร้าหมองที่รุมเร้าอยู่ในจิตนั้นท่านก็เรียกว่าเป็นจิตอย่างหนึ่ง เพราะเกาะกุมจนเป็นส่วนหนึ่งของจิตตามปกติ เหตุนี้จึงเรียกว่าทำการศึกษาปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับจิตโดยตรง
การศึกษาปฏิบัติในขั้นนี้ก็เพื่อให้สัมผัสรู้ตามความเป็นจริงว่ามีความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือราคะ โทสะ โมหะหรือสิ่งไรๆ เกาะกุมแฝงอยู่ในจิตนั้น เมื่อศึกษาปฏิบัติเห็นสภาวะนั้นแล้วก็จะเห็นความจริงอย่างหนึ่งว่าสภาวะเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ และดับไปเป็นเกลียวไปเช่นเดียวกัน ในท่ามกลางการศึกษาปฏิบัตินี้ก็จะสัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าไตรลักษณ์ได้ จิตก็จะละเสียซึ่งสิ่งที่เคล้าคละกุมแฝงอยู่นั้น และสิ่งที่เคล้าคละอยู่นั้นก็ไม่มีผลไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อจิตอีก จิตจึงถึงซึ่งความเป็นอุเบกขา มีความแคล่วคล่องว่องไวสูงสุด มีความบริสุทธิ์สูงสุด มีความสว่างไสวสูงสุด มีกำลังและอำนาจสูงสุด เรียกว่าบรรลุถึงขั้นสูงสุดของการเจริญสมาธิ นั่นคือถึงซึ่งความเป็นอุเบกขา และอุเบกขาในทีนี้ก็คืออุเบกขาเดียวกันกับอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั่นเอง
อานาปานสติขั้นที่สี่มีชื่อว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานคือพิจารณาเห็นธรรมในสิ่งทั้งปวงว่ามีความเป็นจริงอย่างไรจึงได้ชื่อว่าพิจารณาธรรมในธรรม
เมื่อจิตถึงซึ่งความเป็นอุเบกขาหรือเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ในขั้นสุดท้ายของจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้ว จิตก็จะน้อมไปพิจารณาธรรมทั้งหลายตามที่เป็นจริง ต่อยอดจากสิ่งที่จิตได้ละมาโดยลำดับ
ในที่สุดก็จะเกิดปัญญาหรือจิตเจริญปัญญาเห็นความจริงว่าบรรดาสิ่งใดที่มีการปรุงแต่งอยู่ไม่ว่าในส่วนกาย ส่วนจิต หรือภายในจิตก็ตาม สิ่งนั้นไม่เที่ยง มีความเสื่อมไป มีความดับไปเป็นธรรมดา ปัญญาที่เห็นเช่นนี้ได้ชื่อว่าเห็นธรรมในธรรมในขั้นแรก หรือที่เรียกว่าอนิจจานุปัสสี
เมื่อเห็นธรรมในธรรมขั้นแรกเช่นนั้นแล้วจิตก็จะเกิดความเบื่อหน่ายในสภาวะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีที่สิ้นสุด ความเบื่อหน่ายนั้นจะเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นสูงสุด ซึ่งเรียกว่าวิราคานุปัสสี
เมื่อจิตเบื่อหน่ายในความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปถึงที่สุดแล้ว จิตก็น้อมไปสัมผัสถึงความจริงว่ามีภาวะหนึ่งซึ่งเป็นอิสระสูงสุดหลุดพ้นจากสภาวะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอย่างสิ้นเชิง สภาวะนั้นท่านเรียกว่านิโรธานุปัสสี
เมื่อจิตสัมผัสถึงความเป็นอิสระสูงสุดว่าเป็นความจริงที่ดำรงอยู่โดยบริสุทธิ์ผ่องใสปราศจากความเศร้าหมองใดๆ จิตก็จะสลัดออกจากความยึดถือทั้งหลายหรือที่เรียกว่าอุปาทานขันธ์ อันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ หรือนัยหนึ่งก็คือเป็นสมุทัยอริยสัจ สภาวะที่จิตสลัดออกจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงนั้นจึงได้ชื่อว่าปฏิสัคคานุปัสสี และเมื่อจิตสลัดออกถึงซึ่งความเป็นอิสระสูงสุดแล้ว สภาวะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเปรียบเทียบว่าเหมือนกับการที่ลูกไก่เจาะกระเปาะฟองไข่ออกมาสู่โลกภายนอก ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น และนิพพาน
ณ บัดนั้นจิตก็จะรู้ได้ด้วยจิตเองตามความเป็นจริงว่าหลุดพ้นแล้ว ถึงซึ่งความเป็นอิสระสูงสุดและนิพพานแล้ว ดังที่ปรากฏในบาลีว่า วิราคา วิมุจจะติ วิมุตตัสมิง วิมุตตะมิตินั่นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี