เมื่อวานนี้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไปร่วมพิธีรับมอบขบวนรถไฟฟ้าโมโนเรล 2 ขบวนแรก
คือ สายสีชมพู และสายสีเหลือง
1. รถไฟฟ้าชุดนี้ เป็นโมโนเรลแบบคร่อม (Straddle) รุ่น Bombardier INNOVIA 300 รุ่น Bombardier INNOVIA 300
จะมี 4 ตู้ต่อขบวน มีความยาวของขบวนรถ 50.47 เมตร
Bombardier เป็นบริษัทผลิตรถไฟและรถไฟฟ้าชั้นนำของโลกจากประเทศแคนาดา ดังนั้น แม้ประกอบในประเทศจีน แต่มาตรฐานต่างๆ ก็ต้องเป็นไปตามที่บริษัทแม่กำหนด
ความเร็วเฉลี่ย 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นับว่า ความเร็วใช้ได้เลย
แรงดันไฟฟ้ากระแสตรง 750 โวลต์ กำลังไฟฟ้าขับเคลื่อนเท่ากับ BTS
ความจุผู้โดยสารต่อขบวน ถ้า 4 ตู้โดยสาร ความจุ 568 คน
ถ้า 6 ตู้โดยสาร ความจุ 862 คน
มีกล้อง CCTV 4 กล้องต่อตู้
มีระบบกล้องนำทางหน้าตัวรถ สำหรับเจ้าหน้าที่เดินรถที่ศูนย์ควบคุม
สายสีเหลือง จะเปิดทดสอบเดินรถช่วงต้นปีหน้า และเปิดให้บริการราวเดือนตุลาคม 2564
ส่วนสายสีชมพู คาดว่าจะเปิดให้บริการช่วงแรกจากสถานีมีนบุรี-วงเวียนหลักสี่ เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า BTSวัดพระศรีมหาธาตุ ในช่วงปี 2565
นี่คืออีกหนึ่งผลงาน ที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลลุงตู่อย่างแท้จริง
2. การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในขณะนี้ ยังเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะเรากำลังมองไปถึงอนาคตของประเทศในอีก 5-6 ปีข้างหน้า เมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นคืนกลับมา ความสามารถในการแข่งขันของประเทศจะได้พร้อมรับ โดยไม่ล้าหลัง
เมื่อเร็วๆ นี้ คณะอนุกรรมการวิเคราะห์ และเสนอมาตรการบริหารเศรษฐกิจในระยะปานกลางและระยะยาว ที่มี “นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร” ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้เสนอโครงการบริหารเศรษฐกิจระยะปานกลาง และระยะยาว ให้ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ “ศบศ.” ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
โดยเสนอเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานวงเงินรวม 1.2 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย
2.1 การลงทุนโครงการ และแผนงานที่มีความสำคัญต้องเร่งรัด ได้แก่ โครงการทางพิเศษสายฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี วงเงินงบ 80,500 ล้านบาท โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ คาดว่าจะได้รับการอนุมัติต้นปี 2564 และออกแบบรายละเอียดโครงการเสร็จเดือนมิ.ย. 2565
2.2 โครงการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองต่อขยายอุตราภิมุขช่วงรังสิต-บางปะอิน วงเงิน 28,300 ล้านบาท อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมโครงการและรูปแบบการลงทุน
2.3 โครงการทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ข้ามทางรถไฟสายสีแดง เชื่อมต่อทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) วงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยต้องเร่งเจรจาลงทุนโครงข่าย Missing link กับบริษัท ทางด่วน และรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEMคาดว่าจะลงนามสัญญาร่วมทุนได้ภายในเดือน ก.ย.2564
2.4 การลงทุนโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ เช่น โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต, บางซื่อ-ตลิ่งชัน วงเงิน107,000 ล้านบาท โดยกำหนดให้เปิดทดลองใช้รถไฟฟ้าวันที่ 1 ก.ค. 2564
2.5 โครงการระบบรางรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล วงเงิน 135,000 ล้านบาท โดยกำหนดให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในปี 2565 ทุกเส้นทาง
2.6 โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 1 (กรุงเทพฯ-นครราชสีมา) โดยกำหนดให้ลงนามสัญญางานโยธาทั้งหมดภายในปี 2564 และก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2568
2.7 โครงการศึกษาการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นมาบริหารกิจการของรถไฟความเร็วสูง โดยตั้งงบประมาณในการศึกษาไว้ 30 ล้านบาทโดยให้เสนอ ครม.ของบศึกษาในปี 2564
2.8 การลงทุนที่ใช้การลงทุนในรูปแบบ PPP ช่วงปานกลาง-ระยะยาว ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม) วงเงิน 48,500 ล้านบาท โดยก่อสร้างปี 2567 และเปิดบริการปี 2570
2.9 โครงการระบบขนส่งมวลชน จ.ภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต-ห้าแยกฉลอง วงเงิน 35,200 ล้านบาทรวมถึงโครงการระบบขนส่งมวลชน จ.เชียงใหม่ สายสีแดง ช่วง รพ.นครพิงค์-แยกแม่เหียะสมานสามัคคี วงเงิน 27,300 ล้านบาท และโครงการระบบขนส่งมวลชน จ.นครราชสีมา สายสีเขียว วงเงิน 84,800 ล้านบาท
2.10. โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 วงเงินลงทุน114,000 ล้านบาท ซึ่งจะนำรายชื่อผู้ชนะการประมูลเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) และประกาศผู้ชนะได้ในปี 2563
2.11 การลงทุนที่เร่งรัดการระดมทุนผ่านกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ (TFFIF) ที่ระดมทุนไปแล้ว 44,000 ล้านบาท ซึ่ง TFFIFควรเร่งรัดนำเอาเงินไปลงทุนก่อสร้างโครงการทางด่วนพระราม 3 และโครงการทางพิเศษสายอื่น เพื่อให้สอดคล้องวัตถุประสงค์การตั้งกองทุน โดยกำหนดให้ใช้เงินไปลงทุนไม่ต่ำกว่า 30% ในปี 2564
โครงการเหล่านี้ มีทั้งในเขต กทม.และต่างจังหวัด
น่าจะติดตามว่า จะเดินหน้าต่อไปได้แค่ไหน อย่างไร?
คุ้มค่าแค่ไหน? อย่างไร?
จะมีเม็ดเงินเพียงพอ หรือไม่? หลายโครงการจะเป็นรูปแบบรัฐ-เอกชนร่วมลงทุน
ประการสำคัญ คือ รัฐบาลควรจะต้องสื่อสารให้คนเห็นภาพ เห็นอนาคต เข้าใจถึงสิ่งที่ประเทศไทยกำลังจะเคลื่อนต่อไป และทำให้เกิดความเชื่อมั่น แน่ใจว่า อนาคตของประเทศไทยจะเป็นอนาคตที่ดีสำหรับลูกหลานอย่างแท้จริง
มิฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะถูกคัดค้าน ขัดแข้งขัดขา และปลุกปั่นให้เกิดการต่อต้านต่อไปเรื่อยๆ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี