วันนี้เป็นวันพุธแรม 5 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด ตรงกับวันที่7 ตุลาคม 2563 จากนี้ไปอีกราว 24 วัน ก็จะเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา คือเป็นวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอานาปานสติแก่พระสาวกทั้งหลายในคืนเพ็ญเดือน 12 หลังจากที่ทรงปรารภว่าจะตรัสสอนเรื่องนี้ตั้งแต่วันเพ็ญเดือน 8
ซึ่งได้พรรณนาเรื่องอานาปานสติสูตรมาโดยลำดับแล้ว ควรที่เราท่านทั้งหลายจะได้อาศัยช่วงเวลาดังกล่าวนี้น้อมนำศึกษาปฏิบัติเพื่อสัมผัสกับรสชาติพระธรรมที่แท้จริงให้สมกับที่เกิดมาเป็นชาวพุทธ
ดังนั้นในวันนี้จึงยังคงพรรณนาความเกี่ยวด้วยอานาปานสติ หรือนัยหนึ่งก็คือ อริยมรรค หรือหนทางแห่งความดับทุกข์ หรือหนทางที่ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ ความเป็นอิสระสูงสุด ความหลุดพ้น และนิพพาน อันเป็นที่หมายปลายทางในพระพุทธศาสนาที่แตกต่างจากศาสนาทั้งหลาย
ในวันนี้จะได้คลายข้อสงสัยของชาวพุทธจำนวนไม่น้อยที่ยังตั้งความกังขาว่าก็แลเมื่ออานาปานสติมีผลมากมีอานิสงส์มาก และพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงสรรเสริญไว้เป็นอันมากฉะนี้แล้ว ไฉนเล่าจึงมีการสอนวิธีปฏิบัติกันมากมายหลายหลากจนสับสนวุ่นวายกันไปหมด กระทั่งวิธีปฏิบัติที่ได้รับการสอนกันมานั้นมากหลายวิธี แทนที่จะเกิดความว่างความเบา ความสบาย ความเป็นอิสระ ความปีติเบิกบาน กลับเกิดความวิตกกังวล ความเครียด หรือเจ็บป่วยด้วยประการต่างๆ ก็มีให้เห็นเป็นอันมาก
ดังนั้นในวันนี้จึงจำเป็นต้องคลายความกังขาสงสัยนี้จะได้ไม่มีความลังเลสงสัยใดในการลิ้มชิมรสพระธรรมจากคำสอนโดยตรงของพระผู้มีพระภาคเจ้า
คำสอนทั้งหลายที่เราท่านทั้งหลายได้รู้ได้สัมผัสกันนั้น บ้างก็สอนในเรื่องทุกข์ บ้างก็สอนในเรื่องเหตุแห่งทุกข์ บ้างก็สอนกันในเรื่องความดับทุกข์ กระทั่งค้าขายสวรรค์นิพพานกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันก็มีปรากฏให้เห็น
ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องการสอนในเชิงปริยัติหรือเชิงทฤษฎีแม้กระนั้นแล้วก็ยังมีความแตกต่างกันไปมากมาย ตามภูมิปัญญาของผู้สอน หรือตามที่ร่ำเรียนมาจากครูบาอาจารย์ที่ได้ร่ำเรียนสืบทอดกันมาอีกต่อหนึ่ง
จำนวนหนึ่งก็มีการสอนการปฏิบัติที่เรียกกันว่านั่งสมาธิบ้างปฏิบัติสมถะกรรมฐานบ้าง ปฏิบัติสมถะวิปัสสนาบ้าง และในที่สุดก็ถกเถียงกันไม่มีที่สิ้นสุดว่านั่งสมาธิอย่างไรจะเกิดผลประการใดอะไรเป็นสมถะกรรมฐาน อะไรเป็นสมถะ อะไรเป็นวิปัสสนา ซึ่งล้วนเป็นการถกเถียงกันในเชิงปริยัติหรือเชิงทฤษฎี หรือที่ท่านเจ้าคุณพุทธทาสเคยเตือนเอาไว้ว่าเป็นการโต้วาทีของผู้ที่อวดรู้แต่มิได้มีการปฏิบัติและเข้าถึงในสิ่งซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้
ในข้อถกเถียงอันเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหลายจะขอข้ามไปเพราะไม่เป็นแก่นสารและประโยชน์อันใด แต่จำต้องกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่าสมถะวิปัสสนาสักหน่อยหนึ่งว่าไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จ้องไปรู้หรือจำแนกแยกแยะว่าอะไรเรียกว่าสมถะ อะไรเรียกว่าวิปัสสนา ขอเพียงลงมือปฏิบัติก็จะรู้เอง สัมผัสได้เอง และรู้แจ้งแก่ใจด้วยตนเอง
อุปมาเหมือนบุคคลอยากจะรู้ว่าไฟร้อนอย่างไร จึงจะอธิบายโต้เถียงกันอย่างไรก็แค่รู้เพื่อโต้เถียงกันต่อไปเท่านั้นเมื่อใดก็ตามที่สัมผัสกับไฟจริงๆ แล้วนั่นแหละก็จะรู้ว่าไฟร้อนอย่างไร และที่รู้นั้นจะเป็นความรู้ที่ถูกต้องแท้จริงและจะไม่ต้องไปถกเถียงกับใครให้เสียเวลาอีก ฉันใดก็ฉันนั้น
เมื่อข้ามสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจก็คือมรรควิธีหรือมรรคอันมีองค์แปด ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติเพื่อถึงซึ่งความบริสุทธิ์ ความดับทุกข์ ความหลุดพ้น และนิพพาน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในอริยสัจสี่
เพราะอริยสัจสี่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงนั้นเป้าหมายปลายทางที่สำคัญที่สุดก็คือวิธีการดับทุกข์ ซึ่งก็คือมรรคอันมีองค์แปด โดยไม่จำเป็นต้องสำแดงความวิเศษวิโสอะไร ดังที่ครูบาอาจารย์บางพวกพยายามตั้งชื่อขึ้นใหม่ว่าอริยมรรคบ้าง สัมมมาอริยมรรคบ้าง ขอเพียงเข้าใจว่ามรรคคือหนทางแห่งความดับทุกข์ หรือมรรคอริยสัจ หรือมรรคที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนเพื่อความดับทุกข์โดยตรงก็พอแล้ว
คำสอนเกี่ยวกับมรรคหรือหนทางปฏิบัติหรือวิธีปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ดังที่ปรากฏในพระสูตรสำคัญสามพระสูตร และในพระสูตรย่อยๆ อีก 3-5 พระสูตร ซึ่งเป็นบางส่วนบ้าง เป็นการอ้างอิงบ้าง ดังนั้นที่ต้องทำความเข้าใจคือสามพระสูตรหลัก
พระสูตรแรกคือกายคตาสติ เป็นวิธีปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ ที่ทรงแสดงไว้ว่าการเจริญสติโดยมีกายเป็นพื้นฐานนั้นกระทำได้ทั้งในอิริยาบถนั่ง ยืน เดิน นอน หรือในอิริยาบถทั้งสี่ และแต่ละวิธีเป็นอย่างไร
ทว่าการตรัสสอนพระสูตรนี้มีบริบทที่เน้นไปในทางผลหรืออานิสงส์ที่เกิดขึ้นถึงสิบประการ และในสิบประการนี้ก็เป็นเรื่องของการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นที่ต้องอัชฌาสัยของคนบางพวกบางหมู่บางเหล่า และเหมาะสมกับอัธยาศัยของคนจำนวนมากในยุคนั้น แต่ไม่ใช่สิ่งที่ทรงมุ่งเน้นปรารถนาเป็นสำคัญ แต่ก็เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ และพระสูตรนี้ก็มิได้แสดงในขั้นปลายคือภาวะแห่งความสลัดออกหรือความหลุดพ้นและนิพพาน ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่สนใจหนทางปฏิบัติตามพระสูตรนี้ก็จะมุ่งเน้นสนองอัชฌาสัยแห่งตน คือไปมุ่งเน้นในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์
และเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์อันทรงแสดงในกายคตาสติสูตรนั้นก็ปรากฏว่ามีครูบาอาจารย์บางท่านที่ปฏิบัติไม่ได้เข้าไม่ถึงดังที่ทรงตรัสสอนกลับไปตีความให้ผิดเพี้ยนไปในทำนองว่าอิทธิปาฏิหาริย์นั้นไม่มีอยู่จริงและตีความไปจนกระทั่งคำสอนอันสำคัญในพระพุทธศาสนาหมดความหมายไปก็มี
พระสูตรที่สองคือมหาสติปัฏฐานสูตร และเพราะคำว่า “มหา” นี่แหละจึงทำให้ผู้ที่ฝักใฝ่ร่ำเรียนพระสูตรนี้พากันยกตนข่มท่านด้วยสำคัญว่าไม่มีบทคำสอนใดที่เลอเลิศและสมบูรณ์ยิ่งกว่ามหาสติปัฏฐานสูตรเลย
มหาสติปัฏฐานสูตรเป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ทรงสอนถึงแบบแผนวิธีทั้งหลาย ในการปฏิบัติและในทุกมิติซึ่งผู้มีปัญญาและอัชฌาสัยเฉพาะจะต้องพิจารณาเลือกนำมาสอนให้ตรงกับอัชฌาสัยของศิษย์ตนและคนทั้งหลายก็ต้องพิจารณาสำรวจตนเสียให้ดีเสียก่อนว่าแบบแผนวิธีใดที่เหมาะสมสอดคล้องกับอัชฌาสัยที่จะเกื้อกูลต่อการปฏิบัติของตน
แต่ถ้าไปศึกษาดะไปหมดก็จะสับสน กระทั่งเป็นโรคประสาท โรคจิต หรือเป็นบ้าไปก็มี เพราะแต่ละวิธีที่ทรงตรัสสอนนั้นก็ไม่เหมือนกัน แต่สามารถสรุปได้ว่าแบบแผนทั้งหมดที่ทรงสอนในมหาสติปัฏฐานสูตรนั้นสามารถแบ่งได้ตามอัชฌาสัยของผู้ปฏิบัติเป็นสามจำพวก
คือผู้ปฏิบัติที่เป็นพวกนิยมสายตึง พวกปฏิบัติที่นิยมสายหย่อน ที่หมกมุ่นอยู่ในโลกีย์วิสัยและพวกปฏิบัติที่นิยมวิธีธรรมดาแบบง่ายๆ กลางๆ ซึ่งถ้าจำแนกเป็นสามจำพวกนี้แล้วก็จะง่ายต่อการเลือกเรียนรู้และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ตน
ต้องทำความเข้าใจว่าแบบแผนวิธีปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตรนั้นเป็นแบบแผนวิธีปฏิบัติทางจิตหรือการเจริญสติอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งจำนวนมากแบบก็เป็นเรื่องที่พวกโยคีพวกปริพาชก พวกชฎิล หรือนักบวชอื่นๆ ก็ประพฤติปฏิบัติมาแต่ก่อนแล้ว และยังบวกด้วยแบบแผนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
ดังนั้นมหาสติปัฏฐานจึงเป็นการแสดงในบริบทความรู้ในเชิงปริยัติอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ในแบบแผนวิธีปฏิบัติทั้งหมดไม่มีขาดตกบกพร่อง เป็นความรู้ที่รู้แล้วก็สามารถจะอธิบายตอบโต้กับนักบวชเหล่าอื่นทั้งปวงในโลกได้โดยไม่อับอายขายหน้าใคร จึงเป็นพระสูตรที่มีบริบถอันเป็นการแสดงภูมิปัญญาความรู้ แต่ต่อให้ปฏิบัติทุกวิธีแล้วจะเป็นผู้ถึงซึ่งความหลุดพ้นและนิพพานหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
พระสูตรที่สามคือ อานาปานสติสูตร ดังที่พยายามแสดงมาโดยลำดับนั้น เป็นการแสดงพระธรรมที่แสดงขั้นตอนและวิธีปฏิบัติตั้งแต่ความเป็นปุถุชนที่ไม่ต้องมีการศึกษาเล่าเรียนหรือความรู้ใดๆ ขอเพียงปฏิบัติไปตามขั้นตอนและวิธีการที่ทรงตรัสสอนเท่านั้นก็จะสามารถไปถึงที่หมายปลายทาง คือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ความดับทุกข์และนิพพานได้ ซึ่งทรงแสดงถึงอาการต่างๆ ของจิตในภาวะที่จะหลุดพ้นออกจากความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นอุปาทานขันธ์หรือเหตุแห่งทุกข์อย่างหมดจด
จึงเป็นวิธีปฏิบัติที่ชัดเจนที่สุด มีขั้นตอนที่ชัดเจนที่สุด มีระบบปฏิบัติที่ง่ายที่สุด และไม่เป็นภาระใดๆ แก่ผู้ปฏิบัติเลย ต่อให้ผู้ที่ไม่มีการศึกษาแม้ระดับชั้นประถมก็สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ขอเพียงได้ปฏิบัติไปตามที่ทรงตรัสสอนในพระสูตรนี้เท่านั้น
เหตุนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงสรรเสริญอานาปานสตินี้เป็นอันมากยิ่งกว่าพระธรรมคำสอนใดๆ ที่ทรงแสดงตลอดโพธิกาล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี