ประเทศไทยเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” ที่ผู้คนมีอายุยืนขึ้นทำให้มีประชากรวัยเกษียณ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ในสัดส่วนเพิ่มขึ้นขณะที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลง การเลี้ยงดูอย่างมีคุณภาพเพื่อให้ทรัพยากรมนุษย์ที่มีน้อยเติบโตขึ้นมาขับเคลื่อนประเทศต่อไปได้ จึงจำเป็นอย่างมากและต้องทำตั้งแต่ลืมตาดูโลก เพราะมีผลการศึกษาพบว่า“การลงทุนในเด็กปฐมวัย (ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี)คุ้มค่าที่สุด” เพราะพัฒนาการด้านทักษะหรือบุคลิกภาพจะติดตัวไปตลอดทั้งชีวิตไม่ว่าดีหรือร้าย ดังคำโบราณที่ว่า “ไม้อ่อนดัดง่าย-ไม้แก่ดัดยาก” ซึ่งเป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อมที่เด็กพบเจอ
ล่าสุดกับเหตุการณ์ที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองเข้าแจ้งความหลังพบว่าทั้งครูและพี่เลี้ยงเด็กทำร้ายร่างกายบุตรหลานในลักษณะทารุณโหดร้ายผิดวิสัยการลงโทษเพื่ออบรมสั่งสอนตามที่คนปกติทั่วไปพึงกระทำ ซึ่งก็มีผู้ปกครองบางรายตั้งข้อสังเกตว่าบุตรหลานของตนเริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น นิยมใช้ความรุนแรงหรือมีอาการซึมเศร้า เพราะมาจากการมีประสบการณ์ถูกกระทำหรือพบเห็นการกระทำความรุนแรงที่โรงเรียน
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงานเสวนา “ผ่าตัดนโยบายเด็กปฐมวัย สู่...การแก้ปัญหาเด็กอนุบาลถูกละเมิดสิทธิ”ระดมความคิดเห็นจากหลากหลายมุมมอง อาทิ ชิตพงษ์กิตตินราดร ตัวแทนสถาบัน Change Fusion กล่าวถึงการนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาความรุนแรงต่อเด็กปฐมวัย เช่น “แชทบอท (Chatbot)” หรือระบบอัตโนมัติที่ในภาคธุรกิจนำมาช่วยผู้ประกอบการตอบคำถามเบื้องต้นที่ลูกค้าถามเข้ามา
ซึ่งระบบนี้สามารถนำมาใช้ให้คำแนะนำกับผู้ที่ถูกกระทำหรือพบเห็นการกระทำความรุนแรงได้เช่นกัน โดยการเขียนโปรแกรมแชทบอทขึ้นมานั้นสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเข้าไปได้คือ “การรับแจ้งเหตุ” โดยต้องมีหน่วยงานรับแจ้งและเข้าไปดำเนินการอย่างรวดเร็วคือไม่เกิน 24 ชั่วโมงหลังรับแจ้งเหตุ ข้อดีของแชทบอทนอกจากจะเข้าถึงและใช้งานง่ายแล้วยังป้องกันเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลด้วย
แต่การพัฒนาเด็กปฐมวัยนั้นยังมีสิ่งอื่นๆ ที่ต้องคำนึงถึงนอกเหนือจากประเด็นความรุนแรง ดังที่พงศ์ปณต ดีคง ผู้ก่อตั้งเพจ leeway การเรียนรู้ผ่านการเล่น อธิบายว่า โรงเรียนอนุบาล ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า “Pre School” หรือเตรียมเข้าโรงเรียน หรือคำว่า “Kindergarten” ซึ่งแปลว่า “Children’s Garden” หรือสวนของเด็กๆ จึงไม่ได้มีกฎเกณฑ์เข้มงวดอะไรนัก ยังให้เด็กๆ ได้เล่นสนุกตามวัยไม่เน้นนั่งฟังการสอน
แต่เมื่อกลายเป็นภาษาไทยโดยใส่คำว่า “โรงเรียน” เข้าไป ในภาษาอังกฤษนั้นคำว่า “School” นอกจากจะแปลว่าโรงเรียนแล้วยังมีความหมายว่าการทำให้เชื่องอีกด้วย ดังนั้นอาจต้องถกเถียงกันจนถึงคำนิยาม “จำเป็นหรือไม่ที่ต้องใส่คำว่าโรงเรียนนำหน้าคำว่าอนุบาล” ซึ่งขัดกับแนวทางการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยที่ควรได้เรียนรู้อย่างธรรมชาติและฝึกคิดอย่างสร้างสรรค์
และที่ผ่านมาในวงสนทนาของบรรดาผู้ปกครองก็มีการถกเถียงเช่นกัน “จำเป็นหรือไม่ที่ต้องให้ลูกเรียนอนุบาล เพราะถึงส่งไปเรียนก็จะเจอแต่การเน้นให้อ่านออกเขียนได้อยู่ดี” โดยการจัดชั้นเรียนระดับอนุบาล สิ่งที่พบคือมีการจัดห้องเรียนแบบนั่งเป็นแถวหน้ากระดาน การจัดห้องเรียนแบบนี้ไม่ผิดเพียงแต่ไม่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัยที่ธรรมชาติต้องเคลื่อนไหวร่างกาย
การแก้ไขคือ “ครูต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ออกคำสั่ง-ผู้สอน เป็นผู้ดู-ผู้สังเกต” โดยมีตัวอย่างที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ไปทำงานร่วมกับศูนย์เด็กเล็กเพื่อให้สอนตามแนวทาง “High Scope” หลักสูตรที่ เจมส์ เฮ็คแมน (James Heckman) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลชาวอเมริกัน เคยทำการศึกษาแล้วพบว่าช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้ ซึ่งทาง ม.หอการค้าไทยนำมาประยุกต์ภายใต้นิยาม 1.วางแผน (Plan) แต่ละวันครูไม่ได้บอกว่าเด็กปฐมวัยในศูนย์ฯ ต้องทำอะไรเด็กจะเป็นคนคิดเอง 2.ลงมือทำ (Do) หลังจากคิดแล้วเด็กได้ออกไปทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง
และ 3.ทบทวน (Review) เด็กต้องกลับมานำเสนอว่าได้ทำกิจกรรมอะไรบ้าง ครูจะทำหน้าที่ให้คำแนะนำว่าสิ่งที่ทำเป็นอย่างไร เป็นอันตรายหรือไม่ มากกว่าจะเป็นการออกคำสั่งโดยตรง “จะเป็นไปได้หรือไม่ที่ควรมีกรอบหลักในการจัดการเรียนการสอนระดับอนุบาลสำหรับโรงเรียนทุกแห่ง” ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องใช้เฉพาะHigh Scope เท่านั้น เพื่อให้มีเกณฑ์ชี้วัดที่ชัดเจนกว่าในปัจจุบัน นอกจากนี้ “ครูปฐมวัยควรผ่านการสอบวัดผลด้านจิตวิทยาพัฒนาการ” ซึ่งเป็นมาตรฐานในต่างประเทศ ส่วนประเทศไทยการสอบเพื่อเป็นครูปฐมวัยจะวัดเพียงทักษะด้านการสอนเท่านั้น
พงศ์ปณต ยังกล่าวถึงอีกข้อสังเกตคือ “พ่อแม่ผู้ปกครองไทยยังทำงานร่วมกับครูค่อนข้างน้อย”ขณะที่ในต่างประเทศ ครูกับพ่อแม่ผู้ปกครองทำงานอย่างใกล้ชิด มีเหตุผิดปกติหรือมีข้อสังเกตอะไรกับเด็กก็บอกกล่าวแจ้งเตือนซึ่งกันและกันเพื่อป้องกันหรือแก้ไขแบบตัดไฟแต่ต้นลม โดยสื่อสารทั้งทางออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือ รวมถึงการให้ครูไปเยี่ยมบ้านนักเรียนเพื่อให้ความรู้กับพ่อแม่ผู้ปกครองว่าด้วยการเลี้ยงดูและจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
เช่นเดียวกับ อรุณฉัตร คุรุวาณิชย์ ผู้ก่อตั้ง Life Education (ประเทศไทย) ที่กล่าวว่า งานของ Life Education คือการส่งเสริม “จิตวิทยาเชิงบวก” ให้เข้าไปอยู่ในภาคส่วนต่างๆ ของสังคมโดยเฉพาะระบบการศึกษา แต่สิ่งที่พบคือ เมื่อพ่อแม่จะเดินไปที่โรงเรียน ไปพูดอะไรกับครูสักอย่างหนึ่ง จะเกิดความรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก เพราะการออกแบบโรงเรียนนั้นเป็นสถานที่มีรั้วรอบขอบชิด จึงเป็นข้อจำกัดในการออกแบบการจัดการเรียนการสอนร่วมกัน
ซึ่งแม้จะเป็นข้อค้นพบจากการทำงานกับครอบครัวที่มีบุตรหลานวัยรุ่นเรียนชั้นมัธยมหรืออาชีวศึกษา แต่ครอบครัวที่มีบุตรหลานเป็นเด็กเล็กก็ไม่ต่างกัน เช่น ครูหรือพี่เลี้ยงในศูนย์เด็กเล็กหรือโรงเรียนอนุบาลมีวิธีคิด วิธีการทำงานร่วมกับพ่อแม่ผู้ปกครอง รวมถึงวิธีการสื่อสารกับครอบครัวของเด็กค่อนข้างน้อย นี่จึงเป็น “ช่องว่าง” ไม่ว่าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือโรงเรียนอนุบาลทั้งของรัฐและเอกชน
ทำให้ปัญหาสะสมพอกพูนกระทั่งระเบิดออก เป็นความตึงเครียดโจมตีกันไป-มาทั้งฝ่ายครูและผู้ปกครอง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี