ประเทศไทยนับตั้งแต่เข้าสู่ความเป็นสังคมสมัยใหม่ “ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงเทพฯ” คนจากทั่วสารทิศหลั่งไหลเข้ามาเรียนและทำงาน สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ “อาคารชุด”
หลากหลายชื่อเรียกทั้งแมนชั่น อพาร์ทเมนท์ แฟลต คอนโดมิเนียม รองรับผู้ต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองทั้งโดยการซื้อและการเช่า และ “ความรู้สึกอึดอัดที่ฝ่ายหนึ่ง
รู้สึกว่าถูกอีกฝ่ายละเมิดสิทธิเสรีภาพ จากการที่คนจำนวนมากร้อยพ่อพันแม่เข้ามาอยู่รวมกันในพื้นที่จำกัดซึ่งแต่ละคนมีรสนิยมแตกต่าง” มักเป็นสิ่งที่ตามมาในฐานะผลข้างเคียง
หนึ่งในนั้นคือเรื่องของ “ควันบุหรี่มือสอง” ที่หมายถึงผู้สูบบุหรี่ในพื้นที่หนึ่ง แต่ควันบุหรี่นั้นได้ลอยไปรบกวนคนที่ไม่สูบ และอาคารชุดก็เป็นพื้นที่ที่มีปัญหานี้มาก ซึ่งเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจัดสัมมนาเรื่อง “การคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ในอาคารชุด” โดยในงานนี้ นพ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ เล่าว่า เคยมีลูกศิษย์มาปรับทุกข์เนื่องจากไปซื้อคอนโดมิเนียมให้ลูก แต่เมื่อไปอยู่ก็ต้องทนกลิ่นเหม็นจากควันบุหรี่ที่คนห้องอื่นสูบ และไม่มีใครกล้าเตือนเพราะคนสูบมีท่าทางดูน่ากลัว
รศ.ดร.สสิธร เทพตระการพร คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจประชาชนกลุ่มตัวอย่าง 1,204 คน แบ่งเป็นผู้สูบบุหรี่ 176 คน และไม่สูบ 1,028 คน ที่พักอาศัยในอาคารชุดในพื้นที่ 10 เขต ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) พบว่า 1.ในกลุ่มคนที่สูบบุหรี่ 3 อันดับแรก ร้อยละ 48 สูบที่บริเวณริมระเบียงห้องพัก ร้อยละ 35 สูบในพื้นที่ส่วนกลางของอาคารชุด และร้อยละ 12 สูบภายในห้องพัก
“2.กลุ่มตัวอย่างทั้งที่สูบและไม่สูบบุหรี่ ส่วนยอมรับว่าเคยได้กลิ่นควันบุหรี่ลอยมาจากห้องพักของผู้อื่น” โดยกลุ่มที่ไม่สูบบุหรี่อยู่ที่ร้อยละ 72 และกลุ่มที่สูบร้อยละ 78 แต่เมื่อถามต่อไปว่า “รู้สึกอย่างไรเมื่อได้กลิ่นควันบุหรี่” จะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน กล่าวคือ “กลุ่มตัวอย่างที่สูบบุหรี่ ส่วนใหญ่ร้อยละ 50ตอบว่าเฉยๆ” รองลงมา ร้อยละ 37 รำคาญ และร้อยละ 13 หายใจไม่ได้และต้องปิดหน้าต่าง
ในขณะที่ “กลุ่มตัวอย่างที่ไม่สูบ ส่วนใหญ่ร้อยละ 38 ตอบว่ารำคาญ” รองลงมา ร้อยละ 34 หายใจไม่ได้และต้องปิดหน้าต่าง มีเพียงร้อยละ 27 ที่ตอบว่าเฉยๆ และมีร้อยละ 1 เหม็นกลิ่นบุหรี่จนปวดหัว ทั้งนี้ รศ.ดร.นิภาพรรณ กังสกุลนิติ อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึง “อันตรายจากควันบุหรี่มือสอง” ไว้โดยเฉพาะกับ “กลุ่มเปราะบาง”เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ สารพิษจากควันบุหรี่ก่อโรคทั้งมะเร็ง หลอดเลือดหัวใจ เส้นเลือดในสมอง อีกทั้งยังมี“ควันบุหรี่มือสาม” ที่แม้ควันจะหายไปแล้วแต่สารพิษยังคงเกาะตามเสื้อผ้าหรือเฟอร์นิเจอร์
นั่นจึงนำมาสู่แนวคิด “อาคารชุดต้องปลอดบุหรี่”ซึ่งมีตัวอย่างจากหลายประเทศ โดย ศ.ดร.ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ นักวิจัยภายใต้การสนับสนุนของศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ ยกตัวอย่าง ฝรั่งเศส เคยมีกรณีนิติบุคคลคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งเรียกประชุมผู้พักอาศัยเพื่อให้ออกเสียงประชามติว่าจะให้มีกฎห้ามสูบบุหรี่และกัญชาในคอนโดมิเนียมหรือไม่
ซึ่งกรณีดังกล่าวได้ถูกนำเข้าไปวินิจฉัยในชั้นศาล และศาลมีคำตัดสินว่านิติบุคคลมีอำนาจออกกฎดังกล่าวหากผู้พักอาศัยส่วนใหญ่สนับสนุน แม้จะมีผู้ออกเสียงเพียงร้อยละ 50 ของผู้พักอาศัยในอาคารนั้นก็ตาม แนวคิดแบบนี้ยังถูกใช้ใน ออสเตรเลีย ในรัฐวิกตอเรียและรัฐนิวเซาท์เวลส์ ขณะที่ สหรัฐอเมริกา ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เจ้าของโครงการอาคารชุด หรือเจ้าของอาคารชุดให้เช่า สามารถกำหนดข้อห้ามสูบบุหรี่ไว้ในสัญญาซื้อ-ขาย หรือสัญญาเช่าได้ โดยเป็นหน้าที่ของผู้ซื้อหรือผู้เช่าต้องศึกษาข้อมูลก่อนซื้อหรือเช่าว่าจะรับเงื่อนไขได้หรือไม่
กลับมาที่ประเทศไทย ไพศาล ลิ้มสถิตย์ กรรมการศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกฎหมาย พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ที่ระบุถึง “เหตุเดือดร้อนรำคาญ” ว่าหากผู้ใดได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่ สามารถร้องเรียนไปที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ได้ เนื่องจาก อปท. มีอำนาจหน้าที่ในการออกประกาศและกำกับดูแลไม่ให้เกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญแม้จะเป็นสถานที่ของเอกชนก็ตาม
อย่างไรก็คาม จรัญ เกษร กรรมการผู้จัดการบริหารงานอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดาดีเวลลอปเม้นท์จำกัด (มหาชน) และกรรมการบริหารสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยและสมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ซึ่งยกตัวอย่าง “หมู่บ้านจัดสรร”ซึ่งเป็นโครงการอสังหาฯ ที่บริหารจัดการยากกว่าอาคารชุดเช่น หากจัดที่สูบบุหรี่ไว้ที่สวนตรงกลางก็อาจมองว่าไกลแล้วตัดสินใจสูบบริเวณพื้นที่หน้าบ้านของตนเอง ซึ่งแนวป้องกันทำได้ยาก
จึงมองว่า “การพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไรให้เกิดแนวทางการอยู่อาศัยร่วมกันแบบส่งกระทบต่ำที่สุด”เป็นทางออก “แม้การทำให้คนที่มาอยู่ร่วมกันในโครงการอสังหาฯ รู้จักคุ้นเคยกันไม่ใช่เรื่องง่ายก็ตาม ด้วยความเป็นสังคมเมืองที่ความสัมพันธ์ของผู้คนแม้ไม่ถึงขั้นเป็นศัตรู แต่ก็รู้สึกว่าต่างคนต่างอยู่ดีกว่า”ไม่ค่อยอยากทำความรู้จักกัน ซึ่งในฐานะที่อยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มา 20 ปี งานอย่างหนึ่ง คือการทำให้ผู้ที่มาอยู่ในโครงการฯ รู้จักกันให้ได้
“เวลาเกิดเหตุเราไม่อยากให้ปะทะ เราก็จะแจ้งเสมอว่าให้แจ้งฝ่ายจัดการนิติบุคคล จะมี รปภ. มีแม่บ้าน เข้าไปพูดคุย ต่างๆ เหล่านี้เราต้องฝึก จะทะเล่อทะล่าเข้าไปไม่ได้เพราะอารมณ์มันต่างกัน ยิ่งกว่านั้นเราพยายามทำให้คนที่อยู่ร่วมกันรู้จักกันผ่านกิจกรรมต่างๆ นานา พยายามให้เขารู้จักกันให้ได้ อันที่ดีที่สุดทำบุญตักบาตร เวลารู้จักกันมันจะง่าย จะคุยจะอะไรมันเหมือนเป็นเพื่อนกันเออพี่! เบาๆ หน่อยนะ พอดีมีเด็ก มันคุยกันง่าย” จรัญ กล่าว
ผู้คร่ำหวอดในแวดวงอสังหาฯ ท่านนี้ ยังกล่าวด้วยว่า “หากผู้ประกอบการรายใดกำหนดเงื่อนไขซื้อ-ขายอาคารชุดที่รับเฉพาะผู้ไม่สูบบุหรี่ ก็ต้องยอมรับยอดขายที่จะลดลงร้อยละ 20-30 หากเทียบกับรายอื่นๆ ดังนั้น หากจะสร้างสังคมที่ดี ผู้ประกอบการก็ต้องอดทนให้ได้” และนี่คือประเด็นที่ “ที่นี่แนวหน้า” นำมาเสนอในคอลัมน์ประจำสัปดาห์นี้เพื่อให้ท่านผู้อ่านลองขบคิด
เห็นด้วยหรือไม่?..หากผู้ที่จะอยู่ในอาคารชุด ไม่ว่าเช่าหรือซื้อ จะต้องเป็นผู้ไม่สูบบุหรี่เท่านั้น!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี