เมื่อต้นปี ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยนโยบาย “สหรัฐฯ ต้องมาก่อน” (America first) ซึ่งมีความหมายว่า สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำพาของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ นั้น จะคิดและทำการเพื่อตนเองก่อนเป็นหลักเท่านั้น โดยสหรัฐอเมริกาจะไม่ยอมแบกภาระให้กับผู้อื่น หรือโลก และจะไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบ เอาแต่ประโยชน์จากสหรัฐอเมริกาแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป
ก็ส่งผลต่อเนื่องให้ สหรัฐอเมริกาไม่แสดงท่าทีหรือยุ่งเกี่ยวกับความเป็นไปในประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ดังที่สหรัฐอเมริกาภายใต้ผู้นำที่ผ่านๆ มาได้ยึดถือเป็นนโยบายและปฏิบัติกันมาก่อนหน้า
โดยองค์รวมสหรัฐอเมริกาทำตัวเป็นป้อมปราการ มีมาตรการเข้มงวดต่อชาวต่างชาติที่จะเข้าจะออกโดยเฉพาะพวกผู้อพยพจากอัฟกานิสถานและซีเรีย และแรงงานจากตะวันออกกลาง ส่วนในเวทีโลกสหรัฐอเมริกาก็ลด หรือถอนตัวจากเวทีเจรจาพหุภาคี (แบบหลายฝ่าย) และหันมาเพิ่มการเจรจาต่อรองแบบตัวต่อตัว หรือทวิภาคีแทน ผสมกับการดำเนินการ
ความสัมพันธ์ทางการทูต ก็หนักไปทางด้านการผูกมิตรเป็นการส่วนตัวมากกว่าการใช้หลักการ หลักเกณฑ์
ด้วยความที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พูดจริงทำจริง โลกก็เลยปั่นป่วนกันไปทั่วหน้า พันธมิตรทั้งหลายก็เผชิญกับความงุนงงกันไปต่างๆ นานา เพราะยังต้องมาเจอกับวิธีพูดจาแบบโผงผางไม่ไว้หน้าซ้ำเข้าไปอีก ในขณะที่ประเทศที่ทำการท้าทายสหรัฐอเมริกาอย่างประเทศจีน ก็ได้เจอไม้เด็ด คือทั้งการคว่ำบาตร การขึ้นภาษีศุลกากร รวมทั้งการไม่ให้บริษัทเทคโนโลยีขายสินค้าให้กับจีน เป็นต้น
4 ปีที่ผ่านมาจึงดูเสมือนว่า สหรัฐอเมริกาได้ถอนตัวเองออกจากเวทีโลก หรือให้ความสำคัญกับการทูตแบบพหุภาคี และการใช้ความร่วมมือด้วยการเจรจาร่วมกันเป็นตัวตั้ง
โลกจึงเต็มไปด้วยความสับสน เพราะไม่สามารถพึ่งพาสหรัฐอเมริกาได้อย่างที่ผ่านมาโดยเฉพาะประเด็นปัญหาต่างๆ ของโลกที่ต้องแก้ไขกันในระดับพหุภาคี ซึ่งสหรัฐอเมริกาเคยดำรงตนเป็นตัวจักรสำคัญทั้งทุนทรัพย์ องค์ความรู้และแสนยานุภาพ
และเมื่อสหรัฐอเมริกา (โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์) ไม่เอาด้วยกับองค์การการค้าโลกและได้ถอนตัวออกจากองค์การยูเนสโก และองค์การอนามัยโลก ข้อตกลงลดโลกร้อน (หลักการ
ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาความผันผวนของภูมิอากาศโลก) ไปจนถึงการถอนตัวจากข้อตกลงเรื่องจำกัดขอบเขต การพัฒนาแร่ยูเรเนียมเพื่อพลังงานปรมาณู กับอิหร่าน และการถอนตัวออกจากข้อตกลงการค้าเสรีภาคพื้นแปซิฟิก โลกก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก
มาบัดนี้ทั้งโลกเริ่มหายใจทั่วท้องขึ้น เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะหมดวาระไป สหรัฐอเมริกากำลังจะมี นายโจ ไบเดน ขึ้นมาทำหน้าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ โดยเป็นมือเก่าเรื่องการต่างประเทศ และการเมืองภายใน เพราะเคยเป็นวุฒิสมาชิก เป็นประธานคณะกรรมาธิการต่างประเทศ และยังเคยเป็นรองประธานาธิบดีภายใต้ประธานาธิบดี บารัก โอบามา อีกด้วย ก็ทำให้ทั่วโลกคาดกันว่าหลังจากนี้ สหรัฐอเมริกานั้นน่าจะหันหัวเรือกลับคืนสู่เวทีโลกต่างๆ เพื่อร่วมทำงานกับมิตรประเทศ และจะกลับสู่หลักการไม่โอนอ่อนให้พวกประเทศเผด็จการนิยม
สหรัฐอเมริกาภายใต้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ก็จะเป็นเสมือน The Comeback Kid คือเด็กผู้จากบ้านไปนานแล้วกลับมา หรืออาจจะเป็นอย่าง Shane Comeback ยอดคาวบอย เชน ที่จะไม่เคยหายลับไป
โลกที่ไม่มีสหรัฐอเมริกาก็เสมือนเรือขาดหางเสือ เดินหน้าไปอย่างไร้ทิศทาง และในวาระที่สหรัฐฯ จะกลับคืนสังเวียนโลก ก็จะส่งผลให้บรรดานักเลงปากซอย อย่าง จีน เกาหลีเหนืออิหร่าน เวเนซุเอลา และรัสเซีย เพ่นพ่าน ทำอะไรตามอำเภอใจ อย่างที่แล้วๆ มาอีกไม่ได้
ก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะนำพาสหรัฐฯ โลดแล่นไปบนเวทีโลกได้สง่างามสมกับวลี America is back ได้แค่ไหน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี