เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 เป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยสำคัญให้ พล.อ.ประยุทธ์ รอดพ้นจากข้อกล่าวหากรณีอาศัยในบ้านพักทหาร ส่งผลให้ไม่หลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี อย่างที่กลุ่มผู้ต่อต้านและฝ่ายค้านคาดหวัง โดยหากย้อนไปจุดเริ่มต้นของคดีนี้ เริ่มขึ้นมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อต้นปีนี้ ซึ่งภายหลังการอภิปราย พรรคเพื่อไทย นำโดย
นายประเสริฐ ได้ยื่นเรื่องไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อส่งคำร้องต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังพักอาศัยอยู่ในบ้านพักทหารหรือบ้านพักหลวงหลังเกษียณอายุราชการไปแล้ว พร้อมให้เหตุผลว่า ผิดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 3 ที่ห้ามให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา รับเงินหรือประโยชน์ใดๆ จากหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ประกอบกับมาตรา 186 ที่มีผลบังคับใช้กับนายกฯ และรัฐมนตรีด้วย
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ รัฐบาลและกองทัพบกก็ได้มีการชี้แจงไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้วหลายครั้งด้วยกัน ดังนี้
ครั้งแรก ภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตัวแทนของรัฐบาลก็ได้ส่งเรื่องผ่านรัฐสภา เพื่อส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญประกอบคำวินิจฉัย โดยมีรายละเอียดดังนี้คือ พล.อ.ประยุทธ์ ได้อยู่ในบ้านพักทหารจริง ส่วนที่ไม่ได้ไปอาศัยในบ้านพักรับรอง ที่บ้านพิษณุโลก เพราะอยู่ระหว่างการซ่อมแซมปรับปรุง ขณะเดียวกัน ทีมรักษาความปลอดภัยประจำตัว ให้คำแนะนำว่าบ้านพักทหารที่อาศัยอยู่สะดวกในเรื่องดูแลความปลอดภัยมากกว่า
ครั้งที่สอง ชี้แจงโดยกองทัพบก มีการส่งเอกสารชี้แจงลงนามโดย พล.อ.อภิรัชต์ ผบ.ทบ. ขณะนั้น ว่า ตามระเบียบของกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักบ้านพักทหารปี 2555 พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในบ้านพักรับรองไม่ใช่บ้านพักสวัสดิการ และในฐานะที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศ ทำให้เข้าหลักเกณฑ์ตามระเบียบบ้านพักทหาร ให้สามารถอาศัยอยู่ได้
ครั้งที่สาม ภายหลัง พล.อ.อภิรัชต์ ลงจากตำแหน่ง ผบ.ทบ.คนใหม่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็ได้มีเอกสารชี้แจงส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ อีกครั้ง โดยระบุตอนหนึ่งเป็นการตอบคำถาม ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญยังคาใจประเด็นค่าน้ำ-ค่าไฟ ว่า ตามระเบียบของกองทัพบกว่าด้วยการเข้าบ้านพักทหารปี 2548 ข้อ 11 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ว่า กองทัพบกพิจารณาความเหมาะสมในการสนับสนุน
งบประมาณค่าไฟฟ้าและน้ำประปา ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการพักอาศัย
อย่างไรก็ตามในการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวานนี้ ศาลก็ได้ตัดสินออกมาแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกฯ โดยศาลให้เหตุผลว่า เป็นไปตามระเบียบกองทัพบก ว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก พ.ศ.2548 เพราะเป็นอดีต ผบ.ทบ. ขณะที่เมื่อเป็นนายกฯ รัฐมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเพื่อปฏิบัติภารกิจการบริหารประเทศ เพื่อเป็นประโยชน์ส่วนรวม จึงมีความจำเป็นที่จะกำหนดสถานที่พัก แม้เคยจัดให้บ้านพิษณุโลกเป็นบ้านพัก แต่ปัจจุบันยังไม่พร้อมใช้ รัฐจึงต้องจัดบ้านพักประจำตำแหน่ง
ดังนั้น การกระทำของพล.อ.ประยุทธ์ ไม่เป็นกรณีถือประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของประเทศ ไม่เป็นการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยประการที่จะกระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่และไม่เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน พล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญอาศัยเหตุผลดังกล่าว จึงวินิจฉัยว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ไม่สิ้นสุดลง
ทั้งนี้ประเด็นของการตัดสินของศาลก็ส่วนหนึ่ง แต่ประเด็นนอกศาลก็ส่วนหนึ่ง กล่าวคือ ก่อนหน้าวันตัดสิน ดูจะมีการกระทำบางอย่างนอกศาลที่พยายามจะพูดถึงศาลและการตัดสินที่จะเกิดขึ้น โดยการกระทำของพรรคการเมืองบางพรรคหรือไม่? ตลอดจนสื่อบางสำนัก ที่ตลอดระยะเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมาได้มีความพยายามชี้นำความคิดบางอย่างให้กับประชาชนในทำนองว่า ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นองค์กรอิสระมีหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชน และควรทำหน้าที่เป็นกลางและเป็นธรรม การอ่านคำวินิจฉัยกรณีนายกฯ เกษียณแล้วแต่ยังพักอาศัยอยู่ในบ้านพักทหาร เข้าข่ายเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ อันเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ จึงเชิญชวนประชาชนมาจับตาคำพิพากษาในวันดังกล่าว ซึ่งในความเป็นจริงศาลยังไม่ตัดสินและก็ควรให้ความเคารพศาลที่ต้องตัดสินด้วยความเป็นกลางอยู่แล้ว และเมื่อประสงค์จะร้องไปที่ศาลก็เพื่อให้ศาลได้พิจารณาอยู่แล้ว การกระทำเช่นนี้จึงไม่แน่ใจว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือสมควรหรือไม่ ? เพราะเมื่อคำวินิจฉัยที่ออกมาหากไม่เป็นไปตามที่กลุ่มผู้ต่อต้านรัฐคาดหวัง เท่ากับเป็นการสร้างปมความขัดแย้งให้กับประชาชนต่อศาลหรือไม่ ?
นอกจากนี้ ก่อนที่ศาลจะตัดสินเวลา 15.00 น. แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้ก็มีการนัดหมายมาชุมนุมกันที่ห้าแยกลาดพร้าวแล้ว โดยตัวแกนนำให้เหตุผลการนัดในครั้งนี้ไปในทำนองว่า “ถ้ามีการตัดสินให้นายกฯรอด นั้นแสดงว่าศาลได้รับคำสั่งสูงสุดมา เราจึงต้องไปแสดงพลังให้เห็นว่าถ้ายังคอยอุ้มกันอยู่อย่างนี้ ทั้งคนออกคำสั่งและคนรับคำสั่งจะอยู่ไม่ได้ตามกันไป” การออกมาวิพากษ์วิจารณ์ศาลก่อนตัดสินและนัดหมายชุมนุมโดยอ้างเหตุนี้ ไม่รู้ว่าถูกต้องหรือไม่? นอกจากนี้ยังมีแกนนำบางคนวิจารณ์คำตัดสินล่วงหน้าและโยงการตัดสินของศาลไปในทำนองที่เกี่ยวข้องกับสถาบันด้วยใช่หรือไม่?
ซึ่งที่ผ่านมาพลังของกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มแผ่วลง และความเข้มแข็งก็ดูจะลดไปด้วยเช่นกัน แต่อาจไม่ใช่เพราะรัฐบาลจัดการตัดกำลังของด้วยวิธีการต่างๆ อย่างที่แกนนำผู้ชุมนุมบอกเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงที่สำคัญในการจัดการชุมนุมคือ ผู้เข้าร่วมชุมนุมหรือประชาชน ซึ่งมีจำนวนน้อยลงทุกวัน เหตุใดแกนนำจึงไม่อาจดึงมวลชนมาได้มากเหมือนช่วงก่อนหน้า โดยหากลองย้อนไปดูตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาหัวข้อการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมดูจะสับสนปนเป จนอาจไม่รู้แล้วว่าแท้จริงแล้ว ข้อเรียกร้องในการชุมนุมแต่ละวันนั้น เมื่อเอามาร้อยเรียงรวมกันเกี่ยวข้องหรือมีเป้าหมายรวมที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไรกันแน่ หรือแท้จริงแล้วต้นทางไม่ใช่คนในกลุ่มผู้ชุมนุม? แล้วเป้าหมายโดยแท้จริงของผู้ที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มผู้ชุมนุมคือการต้องการอะไรกันแน่ ? แล้วตกลงแล้วมี NGOs ต่างประเทศสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต่อต้านรัฐบาลตอนนี้หรือไม่?
เพราะหลังจากการอ่านคำวินิจฉัยของศาลเสร็จสิ้นก็มีการนำไปเป็นประเด็นต้นเชื้อสร้างปมใหม่โยงคำตัดสินของศาลไปสู่เรื่องต่างๆ โดยเฉพาะในโซเชียลที่มีแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม โยงประเด็นโจมตีศาลรัฐธรรมนูญสร้างความยั่วยุให้กับประชาชน ให้เข้าใจไปในหลายทางรวมถึงมีความพยายามโยงบางส่วนสู่ประเด็นสถาบันด้วย เรื่องนี้ภาครัฐคงต้องมีการตรวจสอบแยกแยะประเด็นต่อไป
“อันธรรมดาเป็นชายชาติทหาร ถ้าไม่รู้คะเนการฤกษ์บนแลฤกษ์ต่ำ ก็มิได้เรียกว่ามีสติปัญญา”
จูกัดเหลียง (ขงเบ้ง) สามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี