เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวคำอวยพรปีใหม่ให้กับประชาชนทุกท่าน ระบุตอนหนึ่งว่า “...เรากำลังเผชิญสถานการณ์ที่ค่อนข้างจะต้องระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น ปีใหม่ปีนี้ ก็คงเป็นปีแห่งครอบครัว เป็นปีแห่งความสุขภายในบ้านหรือสถานที่ที่ปลอดภัย
ในความตั้งใจของนายกรัฐมนตรีที่อยากคุยกับประชาชนว่า ปีใหม่ก็ต้องถือโอกาสในวันท้ายๆ ของปี 2563 ก็ลองคิดดูว่าในปี 2563 ที่ผ่านมาเราทำอะไรไปบ้าง เราทำอะไรที่ดีงาม อะไรที่เรายังบกพร่องอยู่ อะไรที่ต้องแก้ไขต้องปรับปรุง ก็ถือว่าเป็นปลายปีที่เราต้องทบทวนตัวเองว่า เราจะต้องทำอย่างไรต่อไปในอนาคตข้างหน้า เพราะไม่แน่ว่าจะเผชิญสถานการณ์อันยากลำบากนี้ไปถึงเมื่อไหร่”
ขีดเส้นใต้บรรทัดไว้ตรงคำว่า “...อะไรที่เรายังบกพร่องอยู่ อะไรที่ต้องแก้ไขต้องปรับปรุง ก็ถือว่าเป็นปลายปีที่เราต้องทบทวนตัวเองว่า เราจะต้องทำอย่างไรต่อไปในอนาคตข้างหน้า...”
จุดอ่อนของ พล.อ.ประยุทธ์ คือ “เป็นคนเจ้าอารมณ์” และไม่กลั่นกรองการแสดงออก หงุดหงิดคราใด ก็แสดงอาการหงุดหงิดนั้นออกมาทันที เช่น เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563ที่ท่านและคณะเดินทางลงพื้นที่จ.ระยอง เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทุกส่วนงานในการดูแลสถานการณ์ COVID-19
โดยเวลา 16.30 น. หลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลระยอง พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้สัมภาษณ์ ถึงเรื่องบ่อนการพนันที่เป็นต้นเหตุในการแพร่ระบาดโควิด-19 ของในพื้นที่จังหวัดระยองว่า รับที่จะไปดำเนินการขั้นเด็ดขาด ซึ่งได้มีการย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจไป 3-4 คนแล้ว
“ผมยินดีที่จะรับข้อมูลต่างๆ ขอให้ส่งมาได้เลย พร้อมรับดำเนินการ ส่งจดหมายปิดผนึกมาถึงผม ส่งมาที่ทำเนียบรัฐบาลให้นายกรัฐมนตรีทราบ ว่า บ่อนอยู่ที่ไหน เป็นใครอยู่ที่ไหน จะได้ดำเนินการ เพราะถ้ารู้ทีหลังก็ไม่เกิดประโยชน์มันไม่ทันการ ดังนั้น ท่านต้องช่วย สื่อรู้ดี เพราะเป็นคนนำไปเผยแพร่ เราต้องสร้างความเป็นธรรมให้ทุกส่วน เพื่อขจัดคนไม่ดีออกไปให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันเราก็อย่าไปในพื้นที่เสี่ยง และต้องขอโทษที่มีส่วนทำให้ประชาชนไม่ได้ไปฉลองปีใหม่อย่างเต็มที่ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าอะไรปลอดภัย ขอให้เชื่อมั่นรัฐบาล แพทย์พยาบาลทำงานกันหนัก”
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะดำเนินการกับบ่อนระยองอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็พูดอยู่นี่ไง ก็เอาตำรวจออกไป4 คนแล้ว เดี๋ยวใครที่ไปเล่นที่บ่อน แล้วติดเชื้อมา ตนจะสอบคนนั้นด้วย คนขับรถไปเล่นที่ไหน เป็นบ่อนของใคร แล้วรู้ได้อย่างไรว่า เป็นบ่อน ถ้าสื่อรู้ก็ขอให้บอก
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข้อมูลว่าเจ้าของบ่อนการพนันมีความเชื่อมโยงกับนักการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “ใครล่ะ ผมหรอ เห็นโยงมาถึงผมด้วยในรูป เดี๋ยวกำลังสอบอยู่ ใครทำอย่างไรก็ต้องรับผิดชอบแล้วไปบอกว่านายกฯเชื่อมโยงบ่อนเหรอ การทำผิดกฎหมายทุกอย่าในแผ่นดินนี้ต้องไม่เป็นแบบนี้ ไม่งั้นผมจะอยู่ทำไมเล่าวันนี้ความเลวร้ายมันมีหลายอย่างมากมายต้องช่วยกันสิ ให้ข้อมูลมาสิ ผมไม่ปกป้องใครทั้งสิ้นไม่เคยปกป้องใคร มีทุจริตเยอะแยะ ทุจริตนู้น ทุจริตนี่ ดูตรงนี้บ้างสิ ไม่ใช่ผมไม่ทำอะไรซะเมื่อไหร่” นายกฯ กล่าว
ในขณะที่นายกฯ เอาแต่ “พร่ำ” ว่า “ให้ข้อมูลผมสิ”นายแพทย์บัญญัติ เจตนจันทร์ สส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ก็บอกว่า เคยนำเรื่องตู้สลอตและบ่อนเข้าหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยฝากเรื่องไปถึงนายกฯ แล้ว ในจดหมายเปิดผนึกของ นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข สส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ก็ระบุว่า
“....จากกรณีทลายบ่อนดังกล่าว ท่าน สส.จังหวัดระยองคุณหมอบัญญัติ เจตนจันทร์ ท่านได้ติดตามปัญหาเรื่องบ่อนนี้อย่างจริงจัง และนำไปพูดในสภาผู้แทนราษฎรหลายครั้งหลายครา รวมทั้งได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหลายครั้ง โดยขณะนั้นเรียกร้องให้ย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจจังหวัด เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เหมือนจะไม่ได้รับการตอบสนองในแง่ของผู้บังคับบัญชาที่สูงขึ้นไปจากระดับจังหวัดในเวลานั้น
...บ่อนที่ระยองทั้งสองแห่งนี้และสองสถานการณ์นี้ปรากฏเป็นข่าวชัดเจน เป็นของใคร ชื่ออะไร ตัวย่ออะไร จนแม้แต่ผู้สื่อข่าวก็ยังรู้ว่าเจ้าของชื่ออะไร อย่างไร มีบ่อนตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง แต่ผมไม่พบว่าเขาได้ถูกดำเนินคดีแต่อย่างใด หรืออาจจะเป็นด้วยพยานหลักฐานโยงไปไม่ถึงหรืออย่างไร ยังเป็นคำถามที่สังคมและผมยังหาคำตอบไม่ได้ แต่โดยความจริงที่เกิดขึ้นคือเมื่อมีเรื่องบ่อนเกิดขึ้นและเป็นที่สนใจของสังคม เมื่อถูกนำเสนอเป็นข่าว เป็นกระแส ก็จะมีการทำให้สังคมเห็นว่าได้มีการแก้ไขปิดตัวลงแล้ว แต่เมื่อกระแสสังคมเงียบไปหรือสื่อมีเรื่องใหม่มาแทนที่ เราก็จะเห็นบ่อนที่ว่านี้กลับมาเกิดใหม่ทุกครั้งตามที่เห็นปรากฏขึ้นอยู่ในขณะนี้
...ผมเรียนด้วยความสัตย์จริงว่า ถึงแม้ผมเป็นรัฐมนตรีแต่ก็ไม่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในปัญหาส่วนนี้ ผมเป็นรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขที่ดูแล ในงานด้านสาธารณสุขเป็นหลักแต่ในฐานะ สส. พื้นที่ ผมได้พูดถึงปัญหานี้หลายครั้งรวมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปจัดการ แก้ไขปัญหา จะได้รับคำตอบเสมอว่า จะไปจัดการให้ อาจจะด้วยความเกรงใจหรือเหตุผลอะไรก็ตาม แต่สุดท้าย บ่อนก็ยังดำรงอยู่ได้ตามที่เห็นปรากฏปัญหาการระบาดเชื้อโควิด-19 ในระยองครั้งนี้
...ผมนำเรียนปัญหานี้กับท่านนายกรัฐมนตรี ท่านนายกรัฐมนตรีรับทราบ แล้วสั่งการ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบที่มีอำนาจหน้าที่ในจังหวัดนี้ไปแล้ว แต่ก็ยังเกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีก
...ผมเชื่อว่าปัญหาบ่อนการพนัน เป็นมะเร็งร้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำมาซึ่งการซื้อขายตำแหน่งและทำให้กระบวนการยุติธรรมขั้นต้นบิดเบี้ยวซึ่งจะทำให้มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม
...ผมในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องทำหน้าที่ร่วมกับทุกภาคส่วนในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในด้านการควบคุมโรค และดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
...ผมอยากเชิญชวนไปยังท่านนายกรัฐมนตรีที่ผมเคารพในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ถึงเวลาที่เราต้องเอาจริงและจริงจังกับแหล่งแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 มีชื่อว่า “บ่อนถาวร”ที่มีอยู่เกลื่อนกลาด ทั่วประเทศให้หมดไป เพราะถ้าเราไม่ทำ ถึงแม้มีวัคซีนแล้วเราก็ยังต้องใช้เวลายาวนานที่จะต่อสู้ให้ชนะเสร็จเด็ดขาด เราเดินมาถึงการเป็นผู้นำระดับต้นๆ ของโลกเรื่องการฟื้นตัวจากโควิด-19 ผมอยากเห็นประเทศไทยยังรักษาการยอมรับในการต่อสู้กับโควิด-19 ด้วยการใช้เวลาเอาชนะโควิด-19 ให้เสร็จเด็ดขาดโดยเร็วเป็นประเทศต้นๆ ของโลกเช่นเดิม พร้อมเดินคู่ขนานกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจทุกด้านไปด้วยกัน และหลังจากนั้นเราค่อยมาทบทวนการแก้ปัญหาเรื่องบ่อนการพนันในประเทศไทยว่า จะใช้นโยบายไหน?แก้ด้วยวิธีอย่างไร? เช่น เปิดบ่อนเสรี, มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็ง หรือเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย โดยให้ประชาชนร่วมตัดสินใจกับรัฐบาลด้วยครับ...”
ทั้งหมดที่ผมอ้างถึงนี้ ไม่ได้แปลว่านายกฯ “ขาดข้อมูล” หากแต่ขาดความจริงจัง “อย่างต่อเนื่อง” ที่จะจัดการกับปัญหา“บ่อนการพนัน” โดย “ผู้มีอิทธิพล” ที่ “ใหญ่” กว่าตำรวจกระจอกๆ ที่ถูกสั่งย้ายรอบแล้วรอบเล่า ให้ “สิ้นซาก”
อย่าลืมว่า นายกฯ เลือกบริหารประเทศด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กับ พ.ร.บ.โรคระบาด อำนาจสูงสุดอยู่ที่ท่าน ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. และกระจายอำนาจผ่าน “ผู้ว่าราชการจังหวัด”ซึ่งอยู่ในกำกับของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ป.ปลา ที่แสนสนิทชิดเชื้อของท่านเอง และตัวท่านเองยังกับ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” และ “กระทรวงกลาโหม” พูดง่ายๆ ว่าฝ่ายความมั่นคงทั้งหมด อยู่ในบังคับบัญชาของท่าน ถ้าหน่วยงานเหล่านั้น “ไม่มีข้อมูลให้ท่าน” ก็ฉิบหายกันละประเทศนี้ ขนาดกูเกิ้ลมันยังรู้เลยเรื่อง “บ่อนระยอง” แต่นายกฯ กลับกระฟัดกระเฟียด เรียกหา “ข้อมูล” !!
พ้นจากเรื่องบ่อนระยอง ก็ยังตามมาด้วย บ่อนทุ่งสองห้องกรุงเทพฯ ที่นายกฯ ควรเรียก “สิระ เจนจาคะ” ผู้กว้างขวางในพื้นที่ไปคุยบ้าง ตามมาด้วย “บ่อนชลบุรี” ฯลฯ
คำถามก็คือ ทั้งเรื่อง “ขบวนการขนแรงงานเถื่อนเข้าสมุทรสาคร” และ “บ่อน” สารพัดแห่ง ที่โควิด-19 มันช่วย “เปิดโปง” ออกมานี้ นายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” จะเอาจริงเพียงใด
ในปีฉลู 2564 นายกรัฐมนตรีจะเป็นแค่ “โคขุน” ของอดีต สนช. สปท. ข้าราชการที่เกษียณจากเหล่าทัพต่างๆ ที่กลายสภาพมาเป็น สว. และอดีต คสช. กับนักการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ ที่อุ้มสมท่านขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้ “ซุกใต้ปีก” กินอิ่ม-นอนอุ่น แล้วผลักท่านมาเป็น “หนังหน้าไฟ” หรือจะเป็น “วัวชน” ปะฉะดะ ทำความสะอาดประเทศ ล้างระบบเฮงซวย-หาแดก ในทุกองคาพยพอย่างจริงจัง เพื่อเป็น “อนุสาวรีย์” ให้แก่ตัวเอง หรือการ “ลอยตัว” เหมือนที่เคยทำๆ มาจะสบายกว่า เพราะอย่างไรเสีย คะแนนนิยมก็ยังมีอยู่ ยังมีลูกหาบออกมาช่วย “ด่ากลับ” คนที่ตำหนิติติงแทนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
นายกรัฐมนตรีครับ
1) เรื่องโควิด-19 กับดุลยภาพในการจัดการเศรษฐกิจนี้ ผมเห็นใจท่านอย่างยิ่ง ตึงทางไหน หย่อนทางไหน ท่านก็ถูกด่าหมด แต่ไหนๆ ก็ถูกด่าแล้ว ตัดสินใจให้เด็ดขาดสักทางเถอะครับ เพราะการระบาดรอบนี้ นับวันมันจะแพร่กระจายออกไปในวงกว้างมากกว่าครั้งแรกมากแล้วนะครับ แม้หมอเราจะดี เตียงเราจะพอ ชุดเราจะพร้อม แต่มันจำเป็นต้องเสี่ยงขนาดนั้นเลยหรือครับ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ยังมีเวลาให้ทุกคนเตรียมการ ไม่ฉุกละหุกเหมือนคราวแรกกันอีกสักรอบดีไหมครับ
2) เรื่องขบวนการนำเข้าแรงงานเถื่อน ท่านต้องกวาดล้างนะครับ ย้ำว่า กวาดล้างไอ้อีที่หาแดกกับแรงงานเถื่อนนะครับ ไม่ใช่ไปกวาดล้างผู้ใช้แรงงาน และอย่าบอกนะครับ ว่า “ไม่มีข้อมูล” เพราะมันทำให้ท่าน ดูเป็นนายกฯ กระจอกๆ ขึ้นมาทันที
3) บ่อนการพนัน จะเอายังไง จะเงียบหายไป ไม่เอาผิดใคร ไม่ลงโทษให้เด็ดขาด ให้เป็นเยี่ยงอย่าง แค่ทุบหลังเบาๆ น่ารักๆ เหมือนกรณี “สนามมวย” ก่อนหน้านี้ หรือเปล่าครับ
4) นายกฯ จำข่าวนี้ได้ไหมครับ 5 ตุลาคม 2563 สื่อรายงานข่าวว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าการชดใช้ค่าเสียหายในคดีโครงการรับจำนำข้าวในส่วนของนางสาวยิ่งลักษณ์ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากคดีจะขาดอายุความเดือนม.ค. 2564 ว่า ได้สั่งการให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายติดตามเรื่องนี้ว่าผลการดำเนินการเป็นอย่างไร ซึ่งขณะนี้ยังมีเวลาก่อนที่คดีจะขาดอายุความในเดือนมกราคมปีหน้า โดยได้ติดตามเรื่องนี้เป็นพิเศษ ไม่เคยทอดทิ้งเรื่องเหล่านี้แต่อย่างใด”
เดือนมกราคมนี้ นายกฯ จะแถลงความคืบหน้าให้กระจ่างสักครั้งได้ไหมครับ ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชาติบ้านเมือง กรณีจำนำข้าว เป็นเงินเท่าไหร่ เราเป็นหนี้ที่ต้องชดใช้จำนวนเท่าไหร่ แต่ละวัน เดือน ปี เราต้องเอางบประมาณไปชำระหนี้เรื่องนี้เท่าไหร่ แล้วยึดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับผู้เกี่ยวข้องมาได้เท่าไหร่ จะทำอย่างไรต่อไป เอาแบบแถลงเป็นทางการ เห็นภาพทั้งหมด เข้าใจตรงกันทั่วประเทศเลยทีเดียว-ได้ไหมครับ เพราะสังเกตว่า เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกฯ มักจะอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่พูดไม่จาให้มันเคลียร์สักครั้ง
5) ก็เลยถือโอกาสถามเรื่อง “นายหนุ่ย” ตำรวจติดตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ เสียเลยว่า สุดท้าย ที่นายคนนี้ไปเดินตามตูดยิ่งลักษณ์ต้อยๆ ตอนช้อปปิ้ง ตอนดูกีฬาที่ต่างประเทศนี่เขามีความผิดอะไรบ้างไหมครับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ตัวท่านกำกับดูแล ดำเนินการเรื่องนี้อย่างไรบ้างครับ รวมทั้งข่าวลือเรื่องนายตำรวจที่ขับรถไปส่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ชายแดนด้วย เขาลือกันว่า ได้กลับเข้ามารับราชการแล้ว นี่จริงหรือเท็จครับ โปรดชี้แจงแถลงไขให้สังคมหายสับสนเสียทีนะครับ
6) เรื่องอัยการ “เนตร” กับคดี “บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา”ดำเนินการอะไรไปบ้างแล้วครับ นายกฯ อุตส่าห์ตั้งกรรมการชุด ดร.วิชา มหาคุณ ขึ้นมา ทำงานจริงจังมาก ทั้งประเด็นคดีขับรถชนตำรวจ ทั้งกรณีที่ต้องมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมต้นทาง ในชั้นทำสำนวนของตำรวจและการฟ้องหรือไม่ฟ้องของอัยการ ที่อาจารย์วิชากับคณะมีข้อเสนอให้ทำเร่งด่วนนั้น ท่านได้ทำอะไรไปแล้วบ้างครับ
7) ที่สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ว่า ขณะนี้กำลังเกิดปัญหาใหญ่ในการนำเสนอบัญชีรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการอัยการ จำนวน 2 บัญชี คือ บัญชีแรกระดับผู้บริหาร รองอัยการสูงสุด ผู้ตรวจราชการอัยการ อธิบดี และรองอธิบดี, บัญชีสอง ระดับข้าราชการอัยการทั่วไป อัยการพิเศษฝ่าย รวมทั้งอัยการอาวุโส รวมจำนวนรายชื่อทั้ง 2 บัญชีเกือบพันคน เนื่องจากสำนักนายกรัฐมนตรีได้ตีกลับบัญชีรายชื่อการโยกย้ายดังกล่าว ไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อให้คณะกรรมการอัยการ (ก.อ) พิจารณาทบทวนรายชื่อใหม่
สาเหตุเป็นเพราะมีรายชื่ออัยการ 2 ราย ที่มีปัญหาถูกสอบสวนและตกเป็นข่าวรวมอยู่ด้วย จึงไม่ได้มีการนำเสนอเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯแต่งตั้งโยกย้าย คือ นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ที่ถูกเสนอให้ดำรงตำแหน่งอัยการอาวุโส และ นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญาธนบุรี ที่ถูกเสนอให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการอัยการ
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ได้สอบถามเรื่องนี้ไปยัง กรรมการ ก.อ. รายหนึ่ง ได้รับการยืนยันว่า เป็นความจริง โดยสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ส่งเรื่องนี้คืนมาที่สำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2563 และในการประชุมคณะกรรมการ ก.อ. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2563 ได้มีการแจ้งเรื่องนี้ต่อที่ประชุม ซึ่งภายหลังกรรมการ ก.อ. ทราบเรื่องก็สร้างความตกใจให้กับกรรมการทุกคนเป็นอย่างมากเพราะในช่วงตลอดการทำงานของสำนักงานอัยการสูงสุดกว่า125 ปี ไม่เคยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จึงยังไม่ทราบว่าจะหาทางออกเรื่องนี้อย่างไรดี เพราะมีผลกระทบต่อการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการอัยการทั้งระบบ และจะมีการนัดประชุมหารือเรื่องนี้อีกครั้งในวันที่ 26 ม.ค. 2564 นี้
นายกฯ พอจะทราบเรื่องนี้บ้างไหมครับ และมีลับลมคมในหรือเป็นเรื่องปกติธรรมดาครับ
ทั้งหมดที่กล่าวมา จึงจะเห็นได้ว่า งานสำคัญๆ ในเดือนแรกของปี 2564 ของนายกรัฐมนตรีนี้ไม่เบา
แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเลือกเป็น “วัวชน” หรือ “โคขุน” เราคงจะได้เห็นกันชัดๆ ในปี 2564 นี้!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี