นายยูวาล โนอาห์ ฮารารี่ (Yuval Noah Harari) ถือเป็นทั้งนักประวัติศาสตร์ นักคิด นักเขียน นักพูด ที่โดดเด่น และโด่งดังมากในยุคปัจจุบันนี้ ตามประวัติแล้วเขาเป็นพลเมืองของประเทศอิสราเอล เชื้อสายยิว และยังประกาศตนเป็นเพศที่ 3 (มีสามี) เป็นนักวิปัสสนามาร่วม 18 ปีแล้ว ปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นศาสตราจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะสงครามยุคกลาง (Middle Age) ประจำมหาวิทยาลัยฮีบรู (Hebrew) แห่งอิสราเอล
ผู้ที่อยู่ในแวดวงวิชาการหลากสาขาทั้งด้านประวัติศาสตร์ มนุษยชาติ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีสื่อสาร ไปจนถึงแวดวงสื่อหลักๆ ของโลก รวมทั้งแวดวงนักคิด นักศาสนา และแวดวงการเมือง ต่างก็ให้ความสนใจต่อผลงานทางวิชาการเกี่ยวกับความเป็นมาของมนุษยชาติ ความท้าทายของมนุษยชาติ ในโลกปัจจุบัน และการมองอนาคตของมนุษยชาติ ของศาสตราจารย์ยูวาล โนอาห์ฮารารี่ กันทั้งสิ้น ชนิดพูดได้ว่า หากใครในวงการต่างๆ ดังกล่าวบอกว่าไม่รู้จักศาสตราจารย์ฮารารี่ ก็จะถูกจัดว่าเป็นผู้ที่ตกอยู่ในยุคมืดเป็นอวิชชาอย่างรุนแรงถึงขั้นอภัยให้ไม่ได้
ในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ศาสตราจารย์ ฮารารี่ ได้เขียนหนังสือที่สร้างอิมแพ็คไปทั่วโลกถึง 3 เล่ม (โดยมีการแปลออกมาเป็นภาษาต่างๆ 40-50 ภาษา) ดังนี้
1. Sapiens: A Brief History of Humankind (มนุษย์ผู้รู้)
2. Homo Deus: A Brief History of Tomorrow (มนุษย์พระเจ้า)
3. 21 Lessons for 21st Century (การบ้านสำหรับศตวรรษที่ 21)
มุมมองข้อคิดเห็นที่ก่อให้ผู้อ่านเกิดความสนอกสนใจ ตื่นเต้นและนำไปคิดอ่าน ค้นคว้า กันต่อของศาสตราจารย์ ฮารารี่ ที่สำคัญๆก็มี อาทิ
1. มนุษย์เรา (รวมทั้งเครือญาติของมนุษย์ เช่น ลิง และเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณอื่นๆ) สามารถก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าโลก มิใช่เพียงแค่สามารถคิดอ่าน ประดิษฐ์คิดค้น ได้มากกว่าสัตว์อื่นๆ เท่านั้น หากแต่เพราะมนุษย์นั้นยังมีขีดความสามารถในการจัดการ สื่อสาร และร่วมมือกันในภารกิจต่างๆ อย่างกว้างขวาง ซึ่งสัตว์อื่นๆไม่สามารถจะกระทำได้ หรือหากจะกระทำได้ ก็จำกัดอยู่ในวงแคบ
2. ในการเป็นเจ้าโลกนั้น มนุษย์ได้ทำลายล้างสิ่งมีชีวิต ทั้งสัตว์ และพืช ไปอย่างมากมายมหาศาล แถมยังลงมือทำลายกันเองมาเป็นเวลาช้านาน ทั้งๆ ที่สามารถร่วมมือกันเพื่อเสริมสร้างสันติสุข และความเจริญก้าวหน้าได้ หากมนุษย์ต้องการและเอาจริงเอาจัง สังเกตได้จากในยุคประวัติศาสตร์ร่วมสมัยนี้ แม้ว่าจะมีการขัดแย้ง ปะทะ ประหัตประหารกันบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในวงจำกัด และโดยทั่วไปโลกในยุคสมัยนี้จัดได้ว่ามีเสถียรภาพ และความสงบสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
3. ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะทางด้านชีววิทยา ควบคู่กับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร จะอำนวยให้เครื่องกลวิทยาศาสตร์ หรือมนุษย์ประดิษฐ์สามารถทำการคำนวณข้อมูลต่างๆ ของมนุษย์ ทั้งจากพฤติกรรมภายนอกและภายในร่างกายได้ ด้วยระบบประมวลและคำนวณ ที่เรียกว่า Algorithm (ซึ่ง ณ วันนี้มีการแปลเป็นภาษาไทยว่า ขั้นตอนวิธี ความหมาย หมายถึง การวิเคราะห์แยกแยะวิธีการทำงานให้เป็นขั้นเป็นตอนโดยกำหนดให้เรียงกันไปตามลำดับ) กล่าวง่ายๆ ก็คือ ปัญญาประดิษฐ์-Artificial Intelligent (AI) ซึ่งจะวินิจฉัยโรคภัยไข้เจ็บได้ และต่อไปปัญญาประดิษฐ์จะสามารถสังเกต และจับความรู้สึกนึกคิด (Feelings) ของสมองมนุษย์ เท่ากับว่าร่างกาย โดยเฉพาะมันสมองของมนุษย์จะถูกล้วงเข้าไปข้างใน (Hacked) ได้ หรือนัยหนึ่งการปิดบังความรู้สึกนึกคิด ให้เป็นเรื่องส่วนตัวๆ จะกระทำอีกไม่ได้ต่อไป เพราะปัญญาประดิษฐ์จะวิเคราะห์ถึงซึ่งสภาวะจิตใจมนุษย์ได้
4. เครื่องมือเครื่องใช้ใดๆ ของมวลมนุษย์ เช่น มีด ก็ใช้ได้2 ทางคือ ให้เป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์ ฉันใดฉันนั้นเทคโนโลยีAI เช่นกัน ก็สามารถเป็นของดีและของร้ายได้ ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์จะใช้มันอย่างไร คือรัฐบาล หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เลวร้าย ก็อาจจะมาควบคุมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และใช้การเพื่อการควบคุม โน้มน้าว โฆษณาชวนเชื่อ หรือขู่บังคับก็ได้ แต่ถ้าเป็นรัฐบาลหรือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ดี ก็จะใช้มนุษย์ประดิษฐ์เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติโดยรวม
5. ศาสตราจารย์ ฮารารี่ เห็นว่าโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ มีเรื่องท้าทายหลายเรื่อง โดยเฉพาะ
5.1 อันตรายจากอุบัติเหตุที่นำไปสู่การใช้อาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear)
5.2 ภาวะการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (Climate Change)
5.3 เทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดความพลิกผันในสังคม (DisruptiveTechnology)
6. การเผชิญกับประเด็นปัญหาของความท้าทายต่างๆ ไปจนถึงการประคับประคองโลกให้ก้าวไปอย่างยั่งยืนนั้น แต่ละประเทศจะต่างคนต่างทำหรือคิดถึงแต่ตนเองมิได้ ประชาคมโลกหรือทุกประเทศจะต้องร่วมมือกัน เพราะประเด็นปัญหาเกินความสามารถของประเทศหนึ่งใด ที่จะแก้ไข อีกทั้งประเด็นปัญหาต่างๆเป็นเรื่องข้ามพรมแดน และเมื่อเกิดขึ้นที่ประเทศหนึ่งใด ก็จะมีการไหลออกไปสู่ประเทศอื่นๆ โลกจึงต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังแต่บัดนี้
เมื่อชาวโลกได้อ่านได้ฟังความคิดของศาสตราจารย์ ฮารารี่แล้ว ก็จะต้องออกมาระดมความคิด เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์มาตรการในการใช้ประโยชน์จากผลงานต่างๆ และกำหนดกฎเกณฑ์มาตรการในการที่จะป้องกันการใช้ที่จะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อมวลมนุษยชาติ
ซึ่งก็มีหลายคนตั้งคำถามต่อศาสตราจารย์ ฮารารี่ ในการเสวนาต่างๆ หรือแม้กระทั่งจะเขียนไปสอบถามว่า แล้วควรจะให้ลูกหลานเรียนอะไร? หรือนัยหนึ่งจะเตรียมเยาวชนเพื่อการทำงาน และดำรงชีวิตใน 20 ปี 50 ปีข้างหน้าอย่างไร ซึ่งศาสตราจารย์ ฮารารี่ ตอบกลับว่า ไม่สามารถจะให้คำแนะนำได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไกลไปอย่างไร แต่อย่างน้อยก็พอจะเล็งเห็นว่า อาชีพแพทย์อาจจะหมดความสำคัญลงไป เพราะมนุษย์ประดิษฐ์จะสามารถประมวลข้อมูล และวินิจฉัยโรคภัยไข้เจ็บได้แม่นยำ หรือสามารถที่จะพยากรณ์โรคที่กำลังจะเกิดขึ้น ได้ดีและแม่นยำกว่าแพทย์มนุษย์ อีกทั้งงานการของมนุษย์ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้โดยทั่วๆ ไปก็จะถูกมนุษย์ประดิษฐ์ หรือหุ่นยนต์ เข้ามาทดแทนอีกหลายสาขา เช่น ยานยนต์ไร้คนขับ มนุษย์ก็จะต้องไปเรียนและฝึกอาชีพใหม่ๆ ซึ่งก็จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพียงแต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า จะเป็นงานการอะไรบ้าง แต่ที่ต้องพึงระมัดระวังก็คือ มนุษย์ส่วนหนึ่งอาจจะไม่ใช่แค่ตกงาน (Unemployed) แต่จะเป็นมนุษย์ที่ไร้ประโยชน์ (Useless) ที่ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าสังคมจะจัดการอย่างไรอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ดี ศาสตราจารย์ ฮารารี่ ได้ตอบเชิงแนะทิ้งท้ายไว้ว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สังคมยังต้องฝึกสอน ฝึกอบรมให้เยาวชนเป็นคนดี อยู่ในศีลในธรรม
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี