การประท้วง เป็นสิทธิอันชอบธรรมของมนุษย์แต่ก็อาจจะลามปามไปจนกลายเป็นการจลาจลก่อหวอด ซึ่งมัดจะเกิดจากกลุ่มฝูงชนหรือผู้คนที่ไม่มีซุ่มมีเสียง ไม่มีใครเหลียวแล และรู้สึกว่าตนเองไร้อนาคต
เมื่อเกิดการประท้วงเมื่อใด ผู้ประท้วงก็มักจะได้รับการตอบสนองจากภาครัฐด้วยการใช้กำลังปราบปราม ผนวกด้วยการใช้กฎหมายตีกรอบ และการตั้งข้อหา หรือนัยหนึ่งการใช้อำนาจรัฐและเครื่องมือกลไกทางกฎหมาย เพื่อสลายการชุมนุมประท้วงเรียกร้อง เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ที่ฝ่ายอำนาจรัฐมีอิทธิพล และอ้างความชอบธรรม
การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้เหตุการณ์สงบลงได้เพียงชั่วครู่ ชั่วคราว เพราะว่ามันมิได้ทำให้ประเด็นปัญหาของบ้านเมืองที่ผู้ชุมนุมเรียกร้อง หรือประท้วงอันตรธานเลือนรางหายไปโดยประเด็นข้อเรียกร้องซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับความยุติธรรมและความเหลื่อมล้ำในสังคมก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ที่ผ่านมา เราอาจกล่าวได้ว่า การปราบปรามกลุ่มเยาวชนชู 3 นิ้วนั้นสัมฤทธิผล แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ในแง่หนึ่ง ก็เป็นผลมาจากความล้มเหลวของฝ่ายผู้ชุมนุมเอง ทั้งในประเด็นเรียกร้อง และวิธีการ ในขณะที่ฝ่ายผู้กุมอำนาจรัฐ ก็คิดแต่จะใช้แค่อำนาจเพียงอย่างเดียว เพื่อบ่อนทำลาย เพื่อตีให้แตกกระจาย แล้วก็ไล่เบี้ยด้วยเครื่องมือกลไกทางกฎหมาย จนกฎหมายจึงกลายเป็น “อาวุธ” อย่างหนึ่ง ในการเผชิญกับข้อเรียกร้องและการประท้วง
แม้การชุมนุมไปจนถึงการจลาจลจะหมดไปในวันนี้ แต่ก็เป็นแค่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น อีกไม่นานการเรียกร้องเดิมๆ ก็จะอุบัติขึ้นมาอีก อาจจะโดยฝูงชนกลุ่มเดิมๆ หรือจะโดยฝูงชนกลุ่มใหม่ก็ไม่อาจทราบได้ นั่นก็เพราะว่าฝ่ายผู้กุมอำนาจยังปล่อยให้ประเด็นปัญหาของการเรียกร้องและการลุกฮือยังคงค้างคาอยู่ มิได้หมดไป โดยการเพิกเฉยไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง และทะนงว่าอำนาจของฝ่ายตนนั้นล้นเหลือ
อย่างไรก็ตาม สังคมจะก้าวหน้าไปได้ ปัญหาหรือข้อเรียกร้องก็จะต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งก็ต้องเริ่มกันที่การรับฟัง รับมาพิจารณา แล้วก็หันหน้ามาเสวนาพูดจากัน ซึ่งเมื่อมีการพูดจากันแล้ว การประท้วงบนท้องถนนก็จะเริ่มขาดความชอบธรรม เพราะรัฐได้รับฟัง ผ่านการเปิดเวทีให้อภิปราย โต้เถียง เพื่อหาจุดร่วม และเพื่อหาข้อยุติในสังคม
นั่นก็หมายความว่า ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องรับหลักการสันติวิธี และยอมรับในกติกา ซึ่งก็คือมาร่วมชุมนุมกันที่โต๊ะเจรจา และพึงจะต้องมีความจริงใจต่อกัน ที่จะหาทางแก้ไขประเด็นปัญหา และจะต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันว่า จะพูดกันด้วยข้อเท็จจริงและด้วยความมุ่งมั่นที่จะหาทางออกร่วมกัน ซึ่งการเป็นสังคมประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้สำเร็จ มีหลายๆ ประเทศโดยเฉพาะในยุโรป และในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ที่ได้กระทำได้แล้ว ก็มิเกินความสามารถของปวงชนชาวไทยที่จะรักษาความเป็นราชอาณาจักร และเสริมสร้างความเป็นประชาธิปไตยกันต่อไป
ซึ่งก็ต้องมีการเสวนา พูดจากัน ให้ถ่องแท้ จริงใจ เปิดอก ในเรื่องดังต่อไปนี้
1.ความแน่ชัดของพระราชกรณียกิจตามประเพณี ตามราชการ และตามส่วนพระองค์
2.การเอาทหารออกจากการเมืองอย่างเด็ดขาดและกิจใดๆ ต้องอยู่ในคำสั่งของผู้บริหารประเทศและจอมทัพ ซึ่งในยามวิกฤติก็ต้องมีการถวายรายงาน เพื่อทรงวินิจฉัยเป็นเด็ดขาด โดยเอาผลประโยชน์ของชาติและปวงชนชาวไทยเป็นที่ตั้ง
3.ความเหลื่อมล้ำต่างๆ ในสังคม ที่จะต้องลดการผูกขาดของการใช้อำนาจ การครอบงำเศรษฐกิจ และวิถีชีวิต
4.การทำการใดๆ ที่จะต้องมีปวงชนชาวไทยเป็นที่ตั้ง
5.การกระจายอำนาจ เพื่ออำนวยให้ปวงชนชาวไทยมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน
6.การพัฒนาองค์ความรู้และทักษะ เพื่อการเป็นพลเมืองที่รู้ตื่น รู้เท่าทัน และเป็นพลังที่ควรต่อการเคารพ รับฟัง และรับบริการ เป็นต้น
ฉะนั้น ก็ถึงเวลาแล้วที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายชวน หลีกภัย ประธานศาลสูงสุดต่างๆ จะได้ร่วมกันหารือเพื่อมีข้อยุติของฝ่ายรัฐ แล้วนำประเด็นปัญหาที่ได้มีการเรียกร้องมาสู่โต๊ะการเจรจา ซึ่งหลังจากนั้น ฝ่ายรัฐสามารถจะเชิญกลุ่มต่างๆ เข้าร่วมได้ และพิจารณาหาข้อยุติเป็นเรื่องๆ ไป
ในการนี้ เพื่อจะได้เริ่มต้นกันใหม่ ก็ควรมีการยกเลิกข้อกล่าวหาต่างๆ และมีการประกาศการอภัยให้ซึ่งกันและกัน เพื่อจักได้ความเป็นสังคมประชาธิปไตยกันได้อย่างสง่างามด้วยจิตสันติ และความรักชาติบ้านเมือง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี