หลังออกมาเฟซบุ๊คไลฟ์ตั้งคำถามเรื่องการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 และพาดพิงไปถึง “ในหลวงรัชกาลที่ 10” หลายครั้ง จนเป็นเหตุให้ถูกแจ้งความดำเนินคดี ทั้งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์แล้ว นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ก็ถูกสังคมรุกไล่ถาม ว่าทำไมไม่พูดถึงคดีทุจริตของแม่กับน้องชายบ้าง
แม่ คือ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มีความผิดฐานรุกป่าและครอบครองที่ดินผิดกฎหมายในจังหวัดราชบุรีหลายแปลงน้องชาย-นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ กำลังถูกเร่งให้มีการดำเนินคดี“จ่ายสินบน” เพื่อให้ได้ที่ดินแปลงงามของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์มาจัดการ โดยไม่ผ่านการประมูลตามขั้นตอนปกติ
เรื่องนี้ นายธนาธรกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “คดีของครอบครัวต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ไม่ใช่คดีที่เกิดขึ้นกับตน”
อย่างไรก็ตาม มีการตรวจสอบที่อาจพบข้อมูลว่ามีการจ่ายสินบนหรือไม่ ของนายสกุลธรนั้น อาจเกี่ยวพันไปถึงฐานะ “ผู้ถือหุ้น” ของนายธนาธร กับนางสมพรด้วย
โดยเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2564 มีการประชุมกมธ.กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร วาระการพิจารณาข้อเท็จจริง กรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องประเด็นการได้สิทธิเช่าที่ดินระยะยาว บนพื้นที่ของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยไม่ผ่านกระบวนการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติ ตามที่ นายวัชระ เพชรทองอดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นเรื่องต่อกมธ. เพื่อตรวจสอบนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นน้องชาย นายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่มีการให้เงินจำนวน 20 ล้านบาท กับเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ เพื่อแลกกับการได้สิทธิเช่าที่ดินดังกล่าว
ทั้งนี้ กมธ.ได้เชิญผู้แทนจากสำนักงานอัยการ ผู้แทนจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และผู้แทนจากกองบังคับการปราบปรามเข้าชี้แจง โดยฝ่ายอัยการ มี นายวีรพล โมระกรานต์ อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต นายประเสริฐ จรัญรัตนศรี อัยการผู้เชี่ยวชาญ เข้าชี้แจง ส่วนฝ่ายตำรวจได้ขอชี้แจงมาเป็นเอกสารแทน
1) นายสิระ เจนจาคะ ประธานกมธ. ตั้งคำถามว่าเหตุใดคดีนี้ มีการดำเนินคดีกับผู้เรียกรับเงินคือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯ กับนายหน้า เพียง 2 รายเท่านั้น แต่ไม่ดำเนินคดีกับ นายสกุลธร ประชาชนจึงสงสัยว่า ทำไมดำเนินคดีกับผู้รับ แต่ไม่ดำเนินคดีกับผู้ให้
2) นายวีรพล โมระกรานต์ อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต ซึ่งเป็นผู้แทนจากสำนักงานอัยการ ชี้แจงว่า คดีนี้อัยการได้สอบถามไปยังพนักงานสวบสวน ทราบว่าได้แยกดำเนินคดี กรณีของนายสกุลธร ออกมาเป็นอีกคดีหนึ่ง ทำให้ในสำนวนของพนักงานสอบสวนที่ส่งมาสำนวนแรก ยังไม่เชื่อของนายสกุลธร เป็นผู้ต้องหา อัยการจึงไม่สามารถฟ้องดำเนินคดีกับนายสกุลธรได้ และอัยการก็ไม่มีอำนาจไปก้าวล่วงให้ทางตำรวจต้องดำเนินคดีกับนายสกุลธร แต่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำเรื่องมา ข้อเท็จจริงก็ชัดว่า นายสกุลธร มีส่วนร่วมในกรณีนี้ เพียงแต่ตำรวจยังไม่ดำเนินการสอบสวน และตั้งเป็นผู้ต้องหา ทำให้อัยการได้แต่รอว่าพนักงานสอบสวน จะส่งสำนวนคดีของนายสกุลธร มาเมื่อไร เพื่อจะได้พิจารณาว่านายสกุลธร ผิดหรือไม่
3) นายประเสริฐ จรัญรัตนศรี อัยการผู้เชี่ยวชาญ ชี้แจงว่า เหตุผลที่นายสกุลธร ในฐานะผู้ให้เงิน แต่ไม่ถูกดำเนินคดี เป็นเพราะกรณีคนให้เงิน เป็นอีกบริบทหนึ่ง ว่า
เป็นการให้เงินเพื่อให้เจ้าหน้าที่ไปกระทำผิดต่อหน้าที่หรือไม่ซึ่งจากสำนวน ทำให้คดีไม่ชัดเจนว่า นายสกุลธร ให้เงินโดยรู้อยู่แล้ว ว่าจะมีการกระทำความผิด เพราะทั้ง 2 ฝ่ายมีการประสานงานกันอย่างเปิดเผย ไม่ได้ติดต่อกันทางลับ แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 1กลับไม่ได้เปิดเผยชัดเจนว่า เป็นเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินฯ จึงเป็นการหลอกลวงของ ผู้ต้องหาที่ 1 คดีนี้จึงเป็นเรื่องก้ำกึ่งว่านายสกุลธร รู้เห็นกระบวนการทั้งหมดหรือไม่
3) อย่างไรก็ตาม นายสิระ มองว่าการที่นายหน้าฝ่ายนายสกุลธร ซึ่งมาเป็นพยาน และอ้างว่าไม่ทราบกระบวนการขอเช่าที่นั้น ฟังไม่ขึ้น ทั้งที่อาชีพนายหน้าต้องรู้ว่า การจะได้ที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ มาต้องผ่านการประมูล จึงตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดอัยการไม่มีเหตุสงสัยในประเด็นนี้ เข้าข่ายเป็นการช่วยเหลือกันหรือไม่ ไม่เช่นนั้นเท่ากับว่าใครพูดอะไรก็เชื่อหมด หากเป็นการให้ข้อมูลเท็จจะเป็นอย่างไร แม้ว่าศาลต้องพิจารณาตามสำนวนที่ส่งมา แต่เมื่อต้นน้ำมันสกปรก อัยการซึ่งอยู่กลางน้ำ กลับไม่ทำเรื่องที่มาแบบสกปรกให้มันขาวขึ้น บางคดีสอบจนมัดแน่น ถึงจะสั่งฟ้อง แต่คดีนี้รู้องค์ประกอบทุกอย่าง แต่กลับไม่สอบ ส่วนตัวเชื่อว่าคดีนี้มีความผิดปกติแน่นอน
4) นายวัชระ เพชรทอง ในฐานะผู้ร้อง ตั้งข้อสังเกตถึงการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีนี้ ที่มีการทำคดีมาตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย. 2562 กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆทั้งที่ในชั้นสอบสวนพบว่า นายสกุลธร เข้าข่าย “ใช้ผู้ต้องหาที่ 2 หรือนายหน้าในการกระทำความผิด ไม่ได้เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย” จึงเรียกร้องให้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่มผู้บังคับการปราบปราม ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีนี้ เร่งดำเนินการตามกฎหมาย เพราะมีหลักฐานการสั่งจ่ายสินบน ทั้งที่ออกในนามบริษัท และที่ออกโดยชื่อของนายสกุลธรเอง อย่างชัดเจน
5) ก่อนหน้านี้ นายอิทธิพร แก้วทิพย์ โฆษกอัยการสูงสุด แถลงข้อมูลว่า จากการตรวจสอบสำนวน ในช่วงต้นปี 2560 ผู้ต้องหารายที่ 2 (นายสุรกิจ) ซึ่งเป็น นายหน้าค้าที่ดินขณะนั้น ได้ไปพบกับนายสกุลธร และมีการนำที่ดินไปเสนอให้เช่าทั้ง 2 แปลง ซึ่งที่ดินทั้ง 2 แปลงนั้น เป็นที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ โดยที่ดินทั้ง 2 แปลง ประกอบด้วย ที่ดินซอยร่วมฤดีแปลงหนึ่ง และอีกแปลงหนึ่งเป็นที่ตั้ง องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ที่บริเวณชิดลม
นายสกุลธรได้ให้ความสนใจในที่ดินดังกล่าว และหลังจากมีการตรวจสอบข้อมูลว่ามีที่ดินอยู่จริง นายสกุลธร ได้ติดต่อประสานงานและทำสัญญาว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 2 เพื่ออำนวยความสะดวกและประสานงานให้บริษัทเรียลแอสเตทดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด มีสิทธิในการเช่าที่ดิน โดยมีค่าตอบแทนทั้งสิ้น 500 ล้านบาท ซึ่งหลังจากมีการทำสัญญาก็ปรากฏว่าทางผู้ต้องหาที่ 2 และเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯได้แนะนำให้นายสกุลธรเข้าไปยื่นหนังสือขอเช่าที่ดินตามช่องทางปกติของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในเวลานั้น หลังจากที่ยื่นแล้ว ก็มีการจ่ายเงินในงวดแรกประมาณ 5 ล้านบาท เพื่อเป็นการดำเนินการในเรื่องนี้ โดยผู้ต้องหาที่ 2 ได้ให้การว่าเป็นการล็อกผู้ใหญ่
พอมาถึงเมื่อเดือน มี.ค. 2560 ผู้ต้องหาที่ 1 (นายประสิทธิ์) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ ก็ได้ปลอมแปลงหนังสือสำนักงานทรัพย์สินฯ มอบให้กับผู้ต้องหาที่ 2ซึ่งเป็นนายหน้า นำไปให้มอบยังนายสกุลธรต่อไป โดยรายละเอียดในเอกสารนั้นระบุว่าบริษัทเรียลแอสเสทฯ ผ่านคุณสมบัติ ในการตรวจสอบว่าจะเป็นผู้เช่าที่ดินเรียบร้อยแล้วซึ่งหลังจากที่มีการนำหนังสือฉบับนี้ไปมอบให้กับนายสกุลธร นายสกุลธรก็มีการจ่ายเงินกลับมาให้อีก 5 ล้านบาท
แต่พอมาถึงช่วงเดือน พ.ย. 2560 ก็ยังไม่ปรากฏว่าบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ ได้รับสิทธิ์ในการเป็นผู้ให้เช่าที่ดินทั้งตรงซอยร่วมฤดีและตรงชิดลม ดังนั้น จึงมีการนัดให้ตัวผู้ต้องหาที่ 2 ไปดำเนินการต่อไป ทางผู้ต้องหาที่ 2จึงได้มีการร่วมกับผู้ต้องหาที่ 1 ปลอมเอกสารราชการอีกฉบับหนึ่ง เป็นหนังสือในสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เชิญบริษัทนี้ไปประชุม ซึ่งหลังจากที่ได้รับหนังสือเชิญประชุมนี้แล้วนายสกุลธรก็ได้มีการจ่ายเงินไปให้กับตัวผู้ต้องหาที่ 2อีกจำนวน10 ล้านบาท ซึ่งรวม 3 ครั้ง ก็จะคิดเป็นเงินทั้งสิ้น20 ล้านบาท และผู้ต้องหาทั้ง 2 ก็เอาเงินไปแบ่งกัน
พอมาถึงวันประชุม ก็มีการยกเลิกการประชุม นายสกุลธร จึงได้มีการทวงถามเอาเงินคืน ซึ่งจากการสอบสวนก็ได้ความว่า มีการคืนเงินให้นายสกุลธรไปแล้วประมาณ 7 ล้านบาท หลังจากนั้นก็ปรากฏว่าทางสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ทราบเรื่อง จึงมอบอำนาจให้นายอิศรา จารุวณิชกุล ไปแจ้งความ ซึ่งทางกองปราบฯก็สามารถจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 ได้ และก็มีการดำเนินการสอบสวนมาทั้งหมด การสอบสวนนั้นก็เสร็จสิ้นและก็ส่งมาถึงพนักงานอัยการในเดือนเมษายน 2562 โดยมีผู้ต้องหาจำนวน 2 คน
โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า พนักงานสอบสวนเองยังได้มีการส่งสำนวนไปยัง ป.ป.ช. แต่ ป.ป.ช.ก็ได้มีหนังสือตอบกลับไปยังพนักงานสอบสวนว่า ให้ดำเนินการสอบสวนต่อไป ซึ่งในส่วนท้ายของรายงานการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ทางพนักงานสอบสวนได้ขมวดข้อเท็จจริงเอาไว้ว่า ในส่วนของนายสกุลธร ผู้ให้เงินแก่ผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 โดยมีเจตนาให้นำไปให้เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำความผิดต่อหน้าที่ ช่วยเหลือบริษัทเรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด ให้ได้สิทธิ์การเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยไม่ผ่านการพิจารณาตามขั้นตอนปกติ จึงเข้าลักษณะเป็นการใช้ให้ผู้ต้องหาที่ 2 ไปกระทำความผิด นายสกุลธรจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ซึ่งพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับนายสกุลธรตามกฎหมายต่อไป
5) อนึ่ง ในคำพิพากษาของศาลที่มีการเผยแพร่ออกมาก่อนหน้านี้ ในคดีเอาผิดกับเจ้าหน้าที่นั้น มีความตอนหนึ่งว่า นายสกุลธร “จึงได้จ่ายเงินงวดที่สอง จำนวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) และงวดที่สามอีกจำนวน 10,000,000 บาท (สิบล้านบาทถ้วน) รวม 3 งวดจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน)ให้แก่จำเลยทั้งสองรับไว้สำหรับตนเอง เพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยทั้งสองจะร่วมกันไปดำเนินการติดต่อประสานงาน และนำเงินส่วนหนึ่งไปมอบให้รองผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ” นั่นหมายถึงนายสกุลธรรู้อยู่และเล็งเห็นผลแล้วว่า การจ่ายเงินครั้งนั้น จะไปถึงรองผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินฯ ใช่หรือไม่ ซึ่งไม่ได้อยู่ในฐานะ “นายหน้า” ตามที่นายสกุลธรกล่าวอ้าง
6) โดยข้ออ้างในเอกสารข่าวที่นายสกุลธรส่งออกมายังสื่อมวลชน ตอนหนึ่งระบุว่า “ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เสียหายจากเหตุการณ์นี้และขอยืนยันในความบริสุทธิ์ ทั้งนี้ข้าพเจ้าขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า จากข่าวที่สังคมได้รับนั้นเป็นเพียงคำกล่าวอ้างของบุคคลอื่น ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว กรณีนี้ ข้าพเจ้าเป็นผู้เสียหายจากการปลอมแปลงเอกสาร สำหรับสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ชี้แจงนั้น ได้ถูกปรากฏอยู่ในเอกสารสำนวนสอบสวนตั้งแต่แรก ในส่วนของค่านายหน้านั้น เป็นการตกลงตามมาตรฐานในวิชาชีพตามหลักสากลของธุรกิจนี้และจะทำการชำระก็ต่อเมื่อได้ทำธุรกรรมจดสิทธิ์การเช่าที่สำนักงานที่ดินให้แล้วเสร็จ”
6) ส่วนคำชี้แจงจากทางตำรวจนั้น แม้ในการชี้แจงครั้งนี้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ ไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง แต่ส่งหนังสือชี้แจงว่า ปัจจุบันยังไม่ได้พิจารณามีความเห็นทางคดี แต่ก่อนหน้านี้ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ได้ทำหนังสือถึงอัยการ สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ว่า มีเจตนานำเงินไปให้แก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำผิดหน้าที่ ช่วยเหลือบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ให้ได้สิทธิเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ โดยไม่ผ่านขั้นตอนตามปกติ จึงเข้าลักษณะเป็นการใช้ให้ผู้ต้องหาทั้งสองไปกระทำความผิด นายสกุลธรจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป ทั้งที่มีหลักฐานปรากฏเป็นเช็คที่ถูกสั่งจ่ายในนามบริษัทเรียลแอสเสทฯ ซึ่งมีนายสกุลธร เป็นประธานฯ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ นายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ ขณะเกิดเหตุก็เป็นกรรมการบริษัทดังกล่าว
7) นายวัชระ เพชรทอง จึงเสนอว่า “ขอเรียกร้องให้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายต่อ นายสกุลธรและบริษัทเรียลแอสเสทฯ ที่ติดสินบนเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ 500 ล้านบาท แต่แบ่งจ่ายก่อน 3 งวด จำนวน 20 ล้านบาท และขอให้เพิ่มผู้ต้องหาในคดี นอกจากนายสกุลธรแล้ว ให้มี บริษัทเรียลแอสเสทฯนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เพราะขณะเกิดเหตุต่างเป็นถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัทดังกล่าวเช่นกัน”
โดยก่อนหน้านี้ หลังนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกเอกสารชี้แจง นายวัชระ เพชรทอง เคยตั้งข้อสังเกตว่า
“ได้อ่านคำชี้แจงของนายสกุลธรแล้วสรุปว่านายสกุลธรยืนยันว่าเป็นผู้เสียหายและผู้บริสุทธิ์ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ต้องหาทั่วไป การที่นายสกุลธรอ้างว่าไม่เคยรู้จักนายประสิทธิ์อภัยพลชาญ เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์แต่รู้จักเพียงนายหน้า คือ นายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช ให้ทำหน้าที่นายหน้าตามกฎหมาย และอ้างว่ามีการทำเอกสารปลอมมาหลอกลวงนายสกุลธร แต่กลับมีการจ่ายเงินไปแล้ว 3 งวด รวม 20 ล้านบาท เพื่อให้ได้สิทธิดังกล่าว ถึงขั้นทำแผนพัฒนาเป็นโครงการ Mix-Use พื้นที่ 160,000 ตารางเมตร สร้างโรงแรม ศูนย์การค้า สำนักงาน คอนโดมิเนียม มีที่ปรึกษาโครงการมากมายนั้น สรุปง่ายๆ ว่านายสกุลธรถูกหลอกเป็นผู้เสียหายและผู้บริสุทธิ์ ก็อยากถามผู้บริสุทธิ์ว่า
1.เหตุใดจึงตกลงจ่ายค่าตอบแทนเป็นจำนวนเงินสูงถึง 500 ล้านบาท ตามที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง หน้า 9 บรรทัดที่ 10
2.การเสนอเงิน 500 ล้านให้แก่นายหน้าเพื่อให้ได้สิทธิในการเช่าโดยไม่ต้องประมูลแข่งขัน แบบนี้เขาเรียกว่าเงินติดสินบนใช่หรือไม่ หรือเรียกว่าเงินค่านายหน้า
3.นายสกุลธรกล่าวว่าทุกครั้งมีการชำระเงินเป็นเช็ค แสดงว่าการจ่ายเงิน 20 ล้านบาท ครั้งแรก 5 ล้านบาท ครั้งที่สอง 5 ล้านบาท ครั้งที่สาม 10 ล้านบาท เป็นเช็คทั้งสิ้น กรณีหากนายสกุลธรสั่งจ่ายในฐานะเป็นประธานบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และเป็นผู้มีอำนาจลงนามผูกพันแทนบริษัท แสดงว่าผู้ถือหุ้นในขณะนั้น คือ นางสมพรจึงรุ่งเรืองกิจ กับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ถือหุ้นย่อมทราบถึงการกระทำนี้ด้วยใช่หรือไม่
4.เมื่อนายสกุลธรคิดว่าตนเองเป็นผู้เสียหายแล้ว ได้แจ้งความดำเนินคดีอาญาต่อบุคคลทั้งสองตามวิสัยของวิญญูชนหรือไม่
ครับ, เรื่องนี้จึงต้องดูกันต่อไป ตั้งแต่ชั้นตำรวจกองปราบที่ทำสำนวนคดีอยู่ ว่าจะฟันธงลงไปเมื่อไหร่ ที่จะฟ้องหรือไม่ฟ้องฟ้องใครบ้าง เฉพาะสกุลธร หรือจะรวมถึงธนาธรกับนางสมพรด้วยและหากส่งเรื่องต่อไปยังชั้นอัยการ อัยการจะมีความเห็นอย่างไร แต่คำถามใหญ่ที่สุดในตอนนี้ก็คือ ตำรวจจะทำสำนวนเสร็จเมื่อไร?!?!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี