ฉบับนี้มาว่าด้วย เรื่องเล่าของป๋าเปรม ตอนแก้ปัญหาเศรษฐกิจชาติด้วย “นโยบาย ประหยัด นิยมไทย”
ปีที่ผ่านมา รวมทั้งปีนี้และคาดว่าจะถึงปีหน้าเศรษฐกิจของประเทศไทย ก็คงจะยังไม่ดีขึ้น แฟนแนวหน้าท่านหนึ่งเล่าว่า ได้ฟัง รายการวิทยุที่เอฟเอ็ม 90.5 ทุกๆ เที่ยงวันเสาร์ อาทิตย์ ชื่อรายการ “เรื่องเล่าของป๋าเปรม” ที่เล่าเรื่องโดย ดร.สุเมต สุวรรณพรหม โดยได้นำแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจยุครัฐบาล พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จนฟังแล้วชวนให้คิดต่อว่าวิธีการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศซึ่งมีหลากหลายวิธี เพราะคนในชาติก็มีหลายสาขาอาชีพ แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์เอง ก็มีแนวคิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ผมจึงได้ตัดสินใจไปรื้อฟื้นนโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศเราในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วทั้งโลกในช่วงปี 2527-2528 โดยป๋าเปรมได้ตัดสินใจเลือกแก้ปัญหาเศรษฐกิจตามแนวทางที่คณะที่ปรึกษาได้พิจารณาด้วยความรอบคอบ คือ “นโยบายประหยัด นิยมไทย เร่งรัด การส่งออก” ซึ่งเป็นนโยบายอันเป็นแนวทางที่ประชาชนทุกคนในชาติสามารถร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติตามได้ซึ่งพลเอกเปรมในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ออกมาประกาศและเน้นย้ำอยู่เสมอถึงความร่วมมือกันว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุดในการที่จะพาชาติผ่านพ้นวิกฤติต่างๆ
สังเกตมั้ยครับว่า เพียงแค่ ช่วยกันประหยัด เพียงแค่ช่วยกันนิยมไทยใช้ของไทย แล้ว กระทรวงพาณิชย์ช่วยเร่งรัดส่งสินค้าออกให้มากขึ้นซึ่งในขณะนั้นสินค้าที่จะส่งออกส่วนใหญ่ก็เป็นสินค้าทางการเกษตรเท่านั้น แต่ประเทศของเราก็สามารถรอดพ้นจากพิษภัยเศรษฐกิจตกต่ำของโลกได้ ถ้าจำได้คนไทย ข้าราชการไทยและนักการเมืองไทย ในขณะนั้นช่วยกันอย่างจริงๆ จังๆ เพียง 1 ปีเท่านั้น ก็สามารถแก้ปัญหา เศรษฐกิจได้ และกลายเป็นพื้นฐานของการพัฒนาประเทศให้รัฐบาลพลเอกเปรมนำประเทศของเราให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไปจนถึงปี 2531 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลพลเอกเปรม
หลายคนอาจเข้าใจว่า นโยบาย ประหยัด คือ การประหยัดคือ การอดออม การใช้จ่ายน้อย ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลปัจจุบัน อ่านแล้วอาจจะอึดอัดขัดใจ แต่ก็ยืนยันว่านักเศรษฐศาสตร์ในยุคนั้นที่เป็นทีมที่ปรึกษาของพลเอกเปรม หลายท่านอย่าง ดร.สุขุม นวลสกุล, ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี, ดร.วีระพงษ์ รามางกูร, ดร.ทินพันธุ์ นาคะตะ, ดร.อาณัติ อาภาภิรมย์ หลายท่านยังมีชีวิตอยู่ รัฐมนตรีที่ร่วมครม.อย่าง นายพิชัย รัตตกุล, นายสมหมาย ฮุนตระกูล, นายชวน หลีกภัย, นายโกศล ไกรฤกษ์, พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ เอ่ยชื่อแต่ละท่านนี่คุณภาพคับแก้วจริง
หรือถ้าเป็นข้าราชการในยุคนั้นอย่างเลขาธิการสภาพัฒน์นายเสนาะ อูนากูล ซึ่งข้าราชการยุคนั้นถือว่าเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลอย่างจริงจัง
นโยบายประหยัดที่อยากขยายความให้เห็น นี่...มี24 ประการ ที่ต้องทำ เช่น เร่งรัดพัฒนาให้มีกองทุนสะสมทั้งในภาครัฐและเอกชน โดยจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพขึ้นให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบ ลูกจ้างจ่ายเงินสะสมเข้าไปไว้ในกองทุน แล้วนำเงินทั้งหมดเข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯจนทุกวันนี้เงินกองทุนนี้ยังเติบโตขึ้นมา มีเงินหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท การพัฒนาธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต การพัฒนา ตลาดทุน การพัฒนากองทุนพัฒนาชนบทก็เริ่มในรัฐบาลป๋าเปรม จากนั้นการตัดสินใจจัดทำงบประมาณรายจ่ายที่ประหยัด การรณรงค์ให้เกิดการประหยัดลดการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยทุกระดับก็มีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญมากคือการดำเนินการให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศ ซึ่งเมื่อเป็นคำสั่งให้ใช้ของไทยสินค้าที่ผลิตในประเทศ รัฐวิสาหกิจก็ทำได้
นโยบาย “นิยมไทย” เรื่องนี้พลเอกเปรมซึ่งเป็นที่รู้กันว่าท่านมีจิตสำนึกความเป็นไทยอยู่ในหัวใจอย่างเปี่ยมล้นแนวคิด นิยมไทย ของพลเอกเปรมท่านมีความเห็นว่า“ความนิยมไทยครอบคลุมกว้างขวางทั้งในนามธรรมและรูปธรรมคือครอบคลุมทั้งเรื่องสถาบันชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ ศิลปวัฒนธรรม ภาษา รวมถึง ภาษาถิ่นขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ภูมิปัญญา รวมทั้ง ภูมิปัญญาชาวบ้าน” สิ่งเหล่านี้ คือความเป็นไทยของเราทั้งสิ้นสรุปว่าความนิยมไทยก็คือความสำนึกในความเป็นไทย จะต้องเป็นการปฏิบัติตนที่สามารถธำรงคุณค่าของความเป็นไทยไว้ ให้ได้ อย่างยั่งยืน
แทบจะไม่น่าเชื่อว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย เพียงเรื่องรณรงค์ให้คนไทยมี สำนึกนิยมสินค้าไทย ใช้ของที่ผลิตในประเทศไทย ก็สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ และที่ไม่ลืมคนที่พลเอกเปรมมอบหมายให้ขับเคลื่อนเรื่องนิยมไทยในขณะนั้น คือ ท่านมีชัย ฤชุพันธุ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนี่เอง
ที่เขียนมานี่ ก็เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนผู้มีอำนาจว่า วันนี้ความเป็นจริงเรื่องเศรษฐกิจที่มันตกต่ำ และอาจจะแย่ลงไปอีก ลำพังทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล เยียวยาประชาชนไม่ว่าเราไม่ทิ้งกัน เราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง ฯลฯ สรุปก็คือสร้างหนี้ แจกเงิน และกู้เงินเพื่อมาฟื้นฟูเศรษฐกิจ
แต่ถ้าลองทำควบคู่กับ นโยบาย รณรงค์ประหยัด นิยมไทย ใช้ของไทย เร่งรัดการส่งสินค้าออกเพื่อนำเงินตราเข้าประเทศบ้าง ก็น่าจะทำให้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ที่ดูจะยากมาก อาจจะง่ายขึ้นก็ได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี