เกิดปรากฏการณ์การลุกฮือขึ้นของภาคส่วนต่างๆ ที่ดูจะสวนทางกับท่าทีของ “รัฐบาล”
รัฐบาลงง โง่ และงัวเงียอยู่นาน กว่าจะออกมา “ตอบโต้” ปฏิบัติการ “รุกรานอธิปไตย” ของ ราชอาณาจักรไทย อย่างที่ควรจะแสดงออก
1) กองทัพบก ปลุกคนไทยแสดงความรักชาติ แสดงพลัง ด้วยการติดแฮชแท็ก “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” ซึ่งเกิดเป็นกระแสราวไฟลามทุ่ง ประชาชน คนดัง นักการเมือง ดารา ฯลฯ พากันติดแฮชแท็กนี้โดยพร้อมเพรียงกัน
2) ขณะที่ฝ่ายกัมพูชา รุกไล่ด้วยการ “เคลม” ไปสารพัด ตั้งแต่บิดเบือนว่าไทยเป็นผู้รุกราน ไทยยิงทหารเขาก่อน ฯลฯ ฝ่าย “รัฐบาลไทย” กลับไม่ตอบโต้ในประเด็นสำคัญ มีแต่ “กองทัพ” ที่ดูจะแข็งขันในสิ่งเหล่านี้มากกว่านายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
3) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก โต้แย้งแถลงการณ์ของฝ่ายกัมพูชา ที่อ้างถึงเหตุการณ์ปะทะที่ช่องบก ว่า ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน โดย พล.ต.วินธัย ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะที่ผ่านมา กองทัพบกโดย ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ได้เน้นย้ำหน่วยและกำลังพลให้เคร่งครัดในเรื่องของกฎการปะทะ และการปะทะในครั้งนั้นก็เป็นไปในลักษณะของการป้องกันตัวระดับบุคคล เนื่องจากขณะนั้น หน่วยได้รับข่าวสารว่ามีทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธได้รุกล้ำเข้ามาวางกำลังในพื้นที่ของประเทศไทย ฝ่ายไทยจัดกำลังขนาดเล็กเข้าไปเพื่อลาดตระเวนพิสูจน์ทราบ แต่ฝ่ายกัมพูชาได้มีการใช้อาวุธตอบโต้ จึงเกิดการปะทะกัน ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการชี้แจงไปก่อนหน้านี้แล้ว
“ขอยืนยันว่ากรณีเกิดเหตุข้อพิพาทในพื้นที่ ฝ่ายไทยได้พยายามดำเนินการผ่านกลไกการเจรจาระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่ ตามที่ทั้งสองประเทศเคยตกลงกันไว้ แต่กลับเป็นฝ่ายกัมพูชาเองที่ไม่มีท่าทีให้ความร่วมมืออย่างจริงจังในระยะหลัง”
โฆษกกองทัพบกกล่าวอีกว่า ปัจจุบัน กองทัพบกมีความพร้อมต่อปฏิบัติการทางทหารในระดับสูง เพื่อรองรับกรณีที่จำเป็นต้องใช้มาตรการทางทหารตอบโต้ปัญหาการรุกล้ำอธิปไตย ที่ผ่านมา กองทัพบก และกองกำลังป้องกันชายแดน ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ได้ติดตามและรวบรวมข่าวสารของทางฝั่งกัมพูชา ตั้งแต่หน่วยระดับปฏิบัติ จนถึงหน่วยงานในระดับบริหาร พบว่ามีลักษณะท่าทีในการร่วมกันแก้ปัญหาที่ขาดความชัดเจน อีกทั้งปรากฏสิ่งบอกเหตุว่าฝ่ายกัมพูชา ยังคงดำเนินการเตรียมความพร้อมทางทหารอย่างเข้มข้น ควบคู่กับมาตรการด้านการต่างประเทศมาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นความน่ากังวลในแง่มุมทางทหาร
โฆษกกองทัพบก กล่าวด้วยว่า ผู้บัญชาการทหารบก จึงมีคำสั่งให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อมให้อยู่ในระดับที่สูงเพียงพอในการตอบสนองต่อภารกิจในขั้นของการใช้กำลังทางทหาร ตามแผนป้องกันประเทศ เพื่อตอบโต้กรณีการรุกล้ำอธิปไตยในขอบเขตพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อใช้ความพยายามแก้ไขปัญหาตามแนวทางแห่งสันติที่ทุกฝ่ายปรารถนาแล้ว แต่ไม่บรรลุผล
“กองทัพบกขอยืนยันว่า การปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังในพื้นที่ชายแดน ดำเนินการด้วยความรอบคอบ สุขุม และตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในสถานการณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียกับทุกฝ่าย ขณะเดียวกัน ก็พร้อมปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเต็มขีดความสามารถ หากสถานการณ์จำเป็น”
4) นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ตั้งข้อสังเกตว่า ท่าทีของรัฐบาลไทย ที่ดู “ไม่ทันใจประชาชน” เพราะ “ไม่ทันสถานการณ์” และ “ไม่ทันกัมพูชา” ว่า ตอนนี้ต้องดูการตอบสนองของทางกัมพูชา เพราะตอนแรกเรารับทราบว่าเขาจะไม่เข้าร่วมการเจรจาในกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ แต่เขาก็เปลี่ยนใจเข้าร่วม แต่จะไม่พูดหรือหารือเรื่องข้อพิพาทตรงช่องบก เพราะสภาของเขาได้มีการตัดสินใจยื่นฟ้องศาลโลก จึงต้องรู้ว่าทางการไทยจะมีการเตรียมความพร้อมในการประชุม JBC จะไปพูดอะไรกับเขา และมีการเตรียมความพร้อมในเรื่อง 30 จุดที่เป็นกรณีข้อพิพาทชายแดนไทยมากน้อยแค่ไหน
ส่วนทางกัมพูชาจะยอมอ่อนข้อให้ไทยหรือไม่หลังการพูดคุย นายกัณวีร์ กล่าวว่า ถ้าดูการจัดการในฝ่ายบริหารและทางสภานิติบัญญัติค่อนข้างจะแรงพอสมควร ซึ่งครั้งนี้น่าแปลกใจ สำหรับตนที่ติดตามงานชายแดนมาโดยตลอด แสดงให้เห็นว่าครั้งนี้กัมพูชาให้ความสำคัญมากๆ เร่งรัดกระบวนการค่อนข้างจะรวดเร็ว แล้วไปถึงศาลโลกโดยทันที ทั้งที่ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับไทย และใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ทำให้สถานการณ์ขึ้นจากระดับ 0 ไปถึง 80,90 จึงมองว่าน่าจะมีประเด็นบางอย่างที่เกิดขึ้นภายในรัฐบาลกัมพูชาด้วย รวมไปถึงการเมืองภายใน หรืออาจจะใช้ประเด็นนี้เรียกร้องความนิยม และอย่าลืมว่านายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต คือ ผบ.ทบ.ในสมัยที่มีข้อพิพาทเขาพระวิหาร และเป็นคนนำยิงต่อสู้กับฝั่งไทย ตอนนี้เขาขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว อาจจะใช้ประเด็นนี้ดึงความสนใจการเมืองภายในกัมพูชา ดังนั้น ประเทศไทยต้องวางจุดยืนให้ชัดเจนว่าเราจะยอมหรือไม่หรือไม่ ยอมได้แค่ไหน
“หากดูท่าทีของรัฐบาลไทยการตั้งการ์ดน่าจะหลวมตั้งแต่แรก แล้วถ้าเปรียบเทียบกับรัฐบาลฝั่งกัมพูชา ค่อนข้างจะเบากว่าเขาเยอะ แต่ในทางข้อมูลตนมั่นใจว่ากระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) น่าจะมีข้อมูลเยอะอยู่แล้ว แต่การแสดงออกของฝ่ายบริหารค่อนข้างที่จะเบาๆ ทั้งที่น่าจะเข้มแข็งมากกว่านี้ รวมทั้งควรจะชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร และหลังจากการพูดคุยจะทำอย่างไรต่อไป ต้องเตรียมพร้อมให้เสร็จ เพราะเสร็จจาก JBC แล้วจะไป คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ในวันที่ 16-20 มิ.ย.นี้ ดังนั้นรัฐบาลต้องมีโรดแมปให้ชัด”
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชินวัตรกับสมเด็จฮุนเซน มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์นี้หรือไม่ นายกัณวีร์กล่าวว่ายอมรับว่าความสัมพันธ์ของระหว่างสองตระกูลนี้มีส่วนกับสถานการณ์แน่นอน ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะต้องเริ่มจากโครงสร้างระบบความสัมพันธ์ทางด้านการทูตทั้ง 2 ประเทศ แต่ขณะนี้ที่เราเห็นกลายเป็นพีระมิดกลับหัว นำความสัมพันธ์ส่วนตัวของครอบครัวมาเป็นการนำ แม้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บอกชัดเจนว่ามีการพูดคุยกันเป็นประจำ แต่การพูดคุยกันเป็นประจำไม่ใช่การแก้ปัญหา ยิ่งทำให้สถานการณ์คลุมเครือมากยิ่งขึ้นและความสัมพันธ์ส่วนตัวของทั้งสองครอบครัวอาจจะทำให้เราลืมความสัมพันธ์ในบริบทเชิงโครงสร้าง
นายกัณวีร์กล่าวต่อว่า ตอนนี้มีหลายคนวิเคราะห์เรื่อง ของคดีความของนายทักษิณที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ ทำให้ท่าทีของรัฐบาลตอนนี้ดูเหมือนยอมเหลือเกิน ขณะที่ฝั่งกัมพูชาก็รุกเร้าตีกลองรบ แต่ฝั่งเราดูเงียบๆ จึงมีการประเมินกันไปต่างๆ นานา แต่ในมุมมองของตนมองเรื่องของความพร้อมในการพูดคุยของฝั่งไทยมากกว่า ที่เรายังมีความพร้อมไม่เต็มร้อย ฝั่งกัมพูชารุกคืบเข้ามาแล้ว ในโซนโนแมนส์แลนด์ จุดยืนของไทยจะทำอย่างไรในการที่เขาเข้ามารุกคืบ แล้วจะทำอย่างไรให้ทหารกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว ตนมองในประเด็นนี้มากกว่า
“ในการประเมินสถานการณ์ทางการเมือง ก็อาจจะมองว่าเป็นไปได้ที่คุณทักษิณกังวลว่า ถ้าเกิดทำอะไรออกไปแล้ว อาจจะทำให้ฝั่งกัมพูชาโดยเฉพาะฮุนเซน ฮุน มาเนต ไม่พอใจ อาจจะทำให้ไม่สามารถเดินข้ามไปฝั่งกัมพูชาได้ หากมีอะไรก็ตามเกิดขี้น นี่เป็นการประเมินของนักวิเคราะห์ทางการเมืองไป ถามว่ามีความเป็นไปได้ไหม ก็อาจเป็นความเป็นไปได้ แต่จะร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ผมว่ายังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์” นายกัณวีร์กล่าว
5) นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม พรรคไทยภักดี ชี้ชัดว่า #รัฐบาลยังสอบไม่ผ่าน โดยบอกว่า...
ข้อสังเกตต่อแถลงการณ์รัฐบาลกัมพูชา รัฐบาลไทย และการลงพื้นที่ชายแดนของนายภูมิธรรม ผมถือว่ารัฐบาลยังสอบ
ไม่ผ่านหลายเรื่อง
1.แถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชา มีความชัดเจนที่กล่าวหาทหารไทยใช้อาวุธยิงใส่ทหารกัมพูชาก่อน และยังบอกด้วยว่าพื้นที่ปะทะเป็นของกัมพูชาคือ Techo Morokot Village
2.ทำไมแถลงการณ์ของรัฐบาลไทย ไม่กล้าปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวของกัมพูชา และปล่อยให้โฆษกกองทัพบกออกมาแถลงข่าวปฏิเสธว่าฝ่ายเขมรเป็นฝ่ายยิงก่อน เพราะถ้ารัฐบาลไทยแถลงปฏิเสธ จะทำให้มีน้ำหนักมากกว่า
3.การที่นายภูมิธรรมลงพื้นที่ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่าทหารเขมรรุกเข้ามา 200 เมตร แต่อ้างว่าเป็น no man’s land ทำไมไม่กล้ายืนยันว่าพื้นที่นี้เป็นของไทย หรืออ้างว่าเป็นพื้นที่พิพาทก็ยังดี เพราะใช้คำว่า no man’s land หมายถึงพื้นที่ที่ไม่มีใครควบคุม ไม่มีเจ้าของ พูดแบบนี้ยิ่งเข้าทางกัมพูชา ถึงอย่างไรคุณต้องยืนยันว่าเป็นของไทย ไม่ใช่ให้กัมพูชายืนยันเป็นของเขาฝ่ายเดียว
4.แม้จะมีการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ แต่ในคำแถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชา เขายืนยันที่จะไม่เจรจา 4 พื้นที่ เพราะเขาจะร้องศาลโลก อย่างน้อยรัฐบาลไทยก็มีแถลงการณ์ปฏิเสธเขตอำนาจศาลโลก แต่อย่าลืมว่า การเจรจาเราก็เจรจาไป แต่การเตรียมพร้อมทางด้านทหารก็ต้องพร้อม เพราะนี่คืออำนาจต่อรองระหว่างเจรจา
5.การออกแถลงการณ์ของรัฐบาลไทย ควรชี้แจงข้อเท็จจริง ของพื้นที่ที่เกิดปัญหาร่วมด้วย เพื่อให้ชาวโลกรับทราบความจริง(ดูแบบอย่างที่เขมรเขียน เขาแจงปัญหาที่เกิดขึ้นละเอียด) ที่สำคัญแถลงการณ์รัฐบาลไทยต้องมีภาคภาษาต่างประเทศด้วย (ดูเขมรเป็นตัวอย่าง)
6.การที่ภูมิธรรมเจรจากับรมว.กลาโหมกัมพูชา เป็นแค่สร้างภาพหรือไม่
อยากจะบอกว่า ผู้มีอำนาจรัฐบาลไทย ทำงานไม่ได้เรื่อง นายกอุ๊งอิ๊งนั้นไม่ต้องพูดถึง แค่เจอสื่อไทยก็เหวี่ยงแล้ว ส่วนนายภูมิธรรม ดูฝีมือแล้วแค่เดินตามปกป้องลูกนาย ไม่ใช่ผู้ปกป้องประเทศชาติ
6) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงเรื่องเดียวกันนี้ว่า
ประสบการณ์ของตนตลอดหลายทศวรรษที่เคยปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชายแดน ความมั่นคงของประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญในเชิงยุทธศาสตร์อย่างแท้จริง โดยตนขอเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนที่ชัดเจนและเด็ดขาด ไม่ยอมให้การรุกล้ำอธิปไตยถูกมองข้าม และให้ความสำคัญกับมาตรการตอบโต้ที่สมเหตุสมผลทั้งด้านการทูต เศรษฐกิจ กฎหมาย และศักยภาพทางทหาร เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย
“ไทยยึดหลักสันติวิธี ไม่ต้องการเผชิญหน้า แต่หากอีกฝ่ายไม่มีความจริงใจ ไม่ยอมใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ กลับปลุกปั่น ป้ายสี และยกระดับปัญหาไปสู่เวทีโลก ไทยก็จำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือในทุกมิติ เพราะการประนีประนอมแบบไม่ลึกซึ้งจะยิ่งทำให้คู่เจรจาไม่เกรงใจและไม่เกรงกลัว กติกาสากลมีไว้ใช้กับสุภาพบุรุษ และเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเจรจาด้วยความจริงใจ ก็ต้องเตรียมมาตรการเชิงรุกที่สร้างแต้มต่อให้ฝ่ายไทยได้เปรียบ ไม่หลงกล ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พร้อมเรียกร้องให้มีการสื่อสารกับประชาชนและมิตรประเทศอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดในเวทีระหว่างประเทศ”
พล.อ.ประวิตร ขอส่งสารไปถึงกำลังพลในพื้นที่ชายแดน โดยขอชื่นชมกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ โดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 2 และกำลังพลทุกนายที่เสียสละเฝ้าระวังภัยคุกคามต่อผืนแผ่นดิน ด้วยความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว พร้อมให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ ประเทศไทยยึดมั่นในสันติภาพ แต่หากมีการรุกล้ำอธิปไตยแม้แต่น้อย ต้องพร้อมปกป้องด้วยชีวิต เพราะแผ่นดินไทยต้องเป็นของคนไทยเท่านั้น พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายรวมใจเป็นหนึ่งเดียว ตั้งแต่นโยบายระดับสูงจนถึงทหารด่านหน้า เพื่อปกป้องแผ่นดินด้วยหัวใจแห่งความรักชาติ
7) พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา กล่าวผ่านแถลงการณ์ในตอนหนึ่งว่า
“รัฐบาลต้องดำเนินการทุกหนทางเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างเต็มขีดความสามารถโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักและควรแสดงความไม่พอใจในเหตุการณ์ต่างๆ ที่ฝ่ายกัมพูชากระทำแทนพี่น้องประชาชนคนไทยให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อหาทางโดยคณะกรรมการสนับสนุนให้มีการเจรจาเพื่อหาทางออกและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธีและใช้กลไกทวิภาคี และให้ความสำคัญต่อการปกป้องผลประโยชน์ของชาติใน ทุกมิติอีกครั้งติดตามและตรวจสอบความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาอย่างใกล้ชิด”
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้อาจมีความเกี่ยวข้องดีลของตระกูลชินวัตรกับกัมพูชา พล.อ.สวัสดิ์ กล่าวว่า ด้วยความเป็นคนไทยทุกคน เมื่อสุดท้ายแล้วเราต้องรักษาผลประโยชน์ รักษาอธิปไตยรักษาแผ่นดินไทยเป็นหลัก ตนไม่คิดว่าไทยจะไปคิดอะไรมากมายกว่านี้สำหรับความเป็นคนไทย
สรุป : รัฐบาลมี “สิ่งที่ยังไม่ได้ทำเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศชาติอย่างรู้เท่าทัน” อีกมากมาย แถมมีท่าทีเกรงใจกัมพูชา จนผู้คนอยากจะผ่าหัวใจออกมาดูว่า “หัวใจไทยหรือหัวใจเขมร” !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี