วันพุธ ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
“For in my Opinion there never was a good War, or a bad Peace…” - Benjamin Franklin (1783)
“ไม่มีสงครามใดที่งดงาม เช่นเดียวกับไม่มีสันติภาพใดที่ชั่วร้าย” – หนึ่งในวลีดังจากจดหมายของ Benjamin Franklin หนึ่งในรัฐบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เขียนถึง Josiah Quincy หลังสิ้นสุดสงครามปฏิวัติอเมริกา วลีที่สะท้อนให้เห็นถึงผลร้ายของสงครามและเปี่ยมด้วยความหวังว่ามนุษยชาติจะไม่ต้องเผชิญสงครามอีกต่อไป แต่หาก Benjamin ได้กลับชาติมาเกิดอีกครั้งในศตวรรษที่ 21 คงแปลกใจที่แม้โลกจะมีการพัฒนาทางสังคมและการเมืองไปมากแค่ไหน แต่สงครามก็ไม่เคยหายไปจากโลก
ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาสได้ยุติลงด้วยข้อตกลงหยุดยิงที่เกิดขึ้นได้จากความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งข้อตกลงหยุดยิงดังกล่าวมาพร้อมกับ “แผนสันติภาพ (Peace Plan)” สำหรับฉนวนกาซา โดยหลายคนเห็นว่าข้อตกลงและแผนสันติภาพดังกล่าว ถือเป็นผลงานอันทรงคุณค่าที่สร้างสันติภาพแก่ประชาชนในพื้นที่ความขัดแย้ง และเป็นหนึ่งในผลงานอันโดดเด่นของประธานาธิบดีทรัมป์ในฐานะผู้นำประเทศอภิมหาอำนาจ เพราะสามารถบรรเทาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมานานระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ได้
อย่างไรก็ตาม แผนสันติภาพดังกล่าวถูกตั้งคำถามจากนักรัฐศาสตร์หลายคนว่า จะสามารถยุติหรือแก้ไขความขัดแย้งอันยาวนานระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ได้จริงหรือไม่ และในขณะเดียวกันก็มีการตั้งข้อสงสัยว่า แผนสันติภาพนี้จะสามารถเป็น“ธรรมาภิบาลโลก (Global Governance)”ใหม่ได้หรือไม่ กล่าวคือ จะสามารถตอบสนองต่อแนวคิดเรื่องหลักธรรมาภิบาลในการใช้อำนาจในการจัดสรรทรัพยากรภายในประเทศให้มีประสิทธิภาพ การมีกระบวนการบริหารจัดการอย่างเปิดเผยเพื่อลดปัญหาคอร์รัปชัน และการยึดมั่นในหลักนิติธรรม ตลอดจนถึงในระดับระหว่างประเทศที่การจัดการที่ดีหรือธรรมาภิบาลได้ขยายขอบเขตออกมาถึงการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศให้มีประสิทธิภาพในบริบทสากล ซึ่งถูกพูดถึงและให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน
สำหรับผู้เขียนเอง ปัญหาความขัดแย้งในฉนวนกาซาไม่ใช่ประเด็นใหม่ในการเมืองระหว่างประเทศ ฉนวนกาซาและการมีสถานะเป็นรัฐของปาเลสไตน์เป็นปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนานกว่าหลายทศวรรษ อีกทั้ง สำหรับผู้เขียน ธรรมาภิบาลโลกใหม่ในฉบับของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ อาจจะไม่ได้สร้างระเบียบโลกใหม่ที่ปราศจากสงครามได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น ในบทความนี้ ผู้เขียนขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันตั้งคำถามต่อแผนสันติภาพฉบับโดนัลด์ sทรัมป์ ว่าสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่มีมาอย่างยาวนานในฉนวนกาซาได้หรือไม่ และแผนสันติภาพนี้สามารถเป็นธรรมาภิบาลโลกใหม่ที่สามารถจัดการปัญหาระดับนานาชาติได้หรือไม่
ความขัดแย้งระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอล : ปัญหาระหว่างประเทศที่เป็นมากกว่าประเด็นความขัดแย้งทางด้านศาสนา
ดินแดนปาเลสไตน์เคยอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire) โดยมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับมุสลิม หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อังกฤษได้เข้ามาปกครองพื้นที่นี้ภายใต้อาณัติของสันนิบาตชาติ อีกทั้ง เนื่องจากปาเลสไตน์เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวยิว ชาวยิวจากยุโรปจึงเริ่มอพยพกลับเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนแห่งนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเวสต์แบงก์ (West Bank) การอพยพของชาวยิวจากยุโรป โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 1930 ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดและความขัดแย้งกับชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่อย่างรุนแรง กระทั่งในปี ค.ศ. 1948 ได้มีการประกาศจัดตั้งรัฐอิสราเอลขึ้น ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างชาติอาหรับกับอิสราเอล จนนำมาสู่แนวทางการแก้ไขผ่าน แนวทาง 2 รัฐ หรือ (Two-state solution) ภายใต้ข้อตกลงออสโล (The Oslo Accords) เมื่อปี ค.ศ. 1993 เพื่อให้ปาเลสไตน์ได้รับการรับรองในสถานะรัฐ
ในขณะเดียวกันปาเลสไตน์ได้มีจัดตั้งรัฐบาลปาเลสไตน์ (PalestinianAuthority- PA) หลังจากข้อตกลงออสโลเพื่อนำไปสู่การสร้างรัฐปาเลสไตน์ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 แต่ภายในปาเลสไตน์เองได้มีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทางการเมือง 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มฮามาส(Hamas) และกลุ่มการเมืองฟาตาห์ (Fatah) ทำให้ทั้งพื้นที่ในปาเลสไตน์ถูกปกครองโดยสองกลุ่มการเมือง โดยกลุ่มฟาตาห์ปกครองในเขตเวสต์แบงก์ กลุ่มฮามาสยึดครองและบริหารฉนวนกาซา
อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการสร้างสันติภาพในพื้นที่ดังกล่าวกลับไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากเกิดการโจมตีจากทั้งฝ่ายอิสราเอลและฮามาสอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน อีกทั้ง ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประชาชนในฉนวนกาซา ทำให้ประชาชนในฉนวนกาซาเข้าสู่ภาวะทุพโภชนาการ (malnutrition) จนนำไปสู่การที่หลายประเทศเริ่มประกาศยอมรับ รัฐปาเลสไตน์ และมีการเข้ามามีบทบาทของสหรัฐฯ ในการผลักดันข้อตกลงหยุดยิงและแผนสันติภาพ เพื่อยุติความขัดแย้งดังกล่าว
ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสนำมาสู่สันติภาพได้หรือไม่
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ที่ผ่านมา ได้มีการตกลงในเงื่อนไขเบื้องต้นเพื่อหยุดยิงระหว่างรัฐบาลอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ซึ่งนำมาสู่การแลกเปลี่ยนตัวประกันชาวอิสราเอลและนักโทษชาวปาเลสไตน์ ข้อตกลงหยุดยิงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนสันติภาพระยะแรกของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเจรจาระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ซึ่งมีอียิปต์ กาตาร์ และสหรัฐฯ เป็นฝ่ายสนับสนุนและช่วยไกล่เกลี่ย
แผนสันติภาพกาซา 20 ข้อของสหรัฐฯ มีเป้าหมายเพื่อ วางรากฐานในการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างระบบการเมืองและเศรษฐกิจในปาเลสไตน์ โดยในระยะเริ่มต้นของแผนนั้น เป็นการยุติสงครามของทั้งฝ่ายฮามาสและอิสราเอล รวมถึงการปล่อยตัวประกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา กองทัพอิสราเอลโจมตีพื้นที่ฉนวนกาซาอีกครั้ง โดยอิสราเอลระบุว่าเป็นการตอบโต้ต่อการโจมตีของฮามาส ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในหมู่ประชาชนกาซาอีกครั้ง ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอลยังคงมีอยู่
แผนสันติภาพในฉนวนกาซาเป็นธรรมาภิบาลโลกรูปแบบใหม่หรือไม่
ธรรมาภิบาลโลกนั้นหมายถึงการกำกับดูแลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระดับนานาชาติร่วมกันให้เป็นไปตามบรรทัดฐาน (norm) ที่ทุกประเทศทั่วโลกสร้างร่วมกัน และร่วมกันแก้ไขปัญหาระดับโลกต่างๆ เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจ ปัญหาสิ่งแวดล้อม และการปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งธรรมาภิบาลโลกนั้นเปรียบเสมือนกลไกกลางที่ทุกประเทศมีส่วนร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อนให้เกิดการแก้ปัญหาเหล่านี้ ในภาวะที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังคงไม่มีรัฐบาลกลางระดับโลก
แผนสันติภาพของสหรัฐฯ อาจถือเป็นส่วนหนึ่งของธรรมาภิบาลโลกเช่นกัน เนื่องจากเป็นความพยายามในการแก้ไขปัญหาที่ดำเนินมายาวนานระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอล รวมถึงการเข้าไปมีบทบาทกำกับดูแลกระบวนการสร้างรัฐปาเลสไตน์ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้ แผนดังกล่าวยังสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำโลก ที่กำลังมีส่วนในการจัดระเบียบและขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้เป็นไปอย่างมีระบบอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม แผนสันติภาพดังกล่าวถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นแผนการเข้าไปครอบงำหรือเป็นการกำกับดูแลในเชิงอาณานิคม (Colonization) เนื่องจากในแผนของสหรัฐฯ ระบุถึงการจัดตั้งคณะกรรมการสันติภาพ (Board of Peace) โดยมีประธานาธิบดีทรัมป์และโทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เป็นประธาน เพื่อจัดตั้ง รัฐบาลชั่วคราวแบบเทคโนแครตของปาเลสไตน์ (temporary transitionaltechnocratic governance) นอกจากนี้ แผนดังกล่าวยังเสนอการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ของปาเลสไตน์ โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศเข้าร่วมวางแผนด้านเศรษฐกิจอีกด้วย การแทรกแซงในลักษณะดังกล่าวจึงเกินกว่าหน้าที่ของธรรมาภิบาลโลก ที่มุ่งเน้นการแก้ไขและจัดการปัญหาระหว่างประเทศร่วมกัน
โดยสรุป ในมุมมองของผู้เขียน แผนสันติภาพดังกล่าวมีบทบาทเกินกว่าการกำกับดูแลภายนอกเพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศ เนื่องจากแผนดังกล่าวแทรกแซงถึงทุกระดับของการสร้างธรรมาภิบาลของปาเลสไตน์ ครอบคลุมทั้งการจัดการระบบการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ซึ่งหากแผนสันติภาพดังกล่าวถูกนำมาใช้จริง ในมุมมองของผู้เขียน ปาเลสไตน์อาจเผชิญกับความขัดแย้งภายในอีกครั้ง เนื่องจากกลุ่มการเมืองบางกลุ่มอาจไม่พอใจต่อการตั้งคณะกรรมการบริหารโดยสหรัฐฯ และความขัดแย้งภายในดังกล่าวอาจลุกลามไปสู่ความตึงเครียดกับอิสราเอลอีกครั้งได้เช่นกัน ทั้งนี้ ชาวปาเลสไตน์ควรมีสิทธิ์กำหนดหลักการบริหารจัดการที่ดีด้วยตนเอง ปกครองประเทศอย่างอิสระ และปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก เพื่อให้รัฐปาเลสไตน์เติบโตเป็นรัฐที่เข้มแข็งและยั่งยืน ไม่เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศในอนาคต
ศรันย์ชนก ลิมวิสิฐธนกร

‘เกาะสมุย’คึกคัก! ‘เรือสำราญ’ 2 ลำนำนักท่องเที่ยวกว่า 2 พันคนขึ้นเที่ยว
ชายวัย62ขี่ซาเล้งข้ามฝายน้ำล้น ไหลเชี่ยว ถูกกระแสน้ำซัดตก กู้ภัยช่วยทุกลักทุเลกว่า 1 ชม.รอดตาย
แบบนี้ก็ได้เหรอ!? เพจดังเปิดภาพเสื้อหน่วยงานตร.แห่งหนึ่งในสงขลา พร้อมสกรีนชื่อ สส.คนดัง!
‘เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์’เตรียมทยอยปรับเพิ่มระบายน้ำ หลังฝนตกต่อเนื่องเหนือเขื่อน
‘กกต.’พร้อมทำ‘ประชามติ’ล่วงหน้านอกเขต รับข้อเสนอ‘ไอติม’ชงออกระเบียบรองรับ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี