แม้ว่า “คุณหมอทวีศิลป์ วิษณุโยธิน” ในฐานะโฆษกของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) จะพยายามให้คนไทยเข้าใจว่าจำนวนการติดเชื้อไวรัสโควิดที่เพิ่มขึ้นเมื่อปลายปี 2563 ต่อเนื่องมาถึงต้นปี 2564 จนรัฐบาลต้องออกมาตรการในการควบคุมพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย รวมไปถึงการเยียวยาผลกระทบด้านเศรษฐกิจแก่ประชาชนอีกรอบนั้น เป็นการระบาดระลอกใหม่ แต่ตามความเข้าใจของสังคม ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นการระบาดระลอกสอง ที่มีความต่อเนื่องมาจากการระบาดระลอกแรกในช่วงต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ย่อมมีความชัดเจนว่า รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีประสบการณ์ต่อการบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาเกือบปีนี่จึงเป็นบรรทัดฐานที่สำคัญต่อการบริหารจัดการในการแพร่ระบาดที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ ว่ามีพัฒนาการขึ้น หรือถดถอยลง ต่อยอดไปถึงการประเมินผลงานในฐานะผู้นำประเทศของนายกรัฐมนตรี ที่จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับประชาชนคนไทยต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ เชิญตัดสินใจได้จากข้อมูลดังต่อไปนี้
มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ในระลอกแรกนั้น ทาง ศบค. ได้ให้ความสำคัญต่อการหยุดตัวเลขการติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันเอาไว้ที่เลข 0 แต่ก็เริ่มต้นด้วยมาตรการที่หย่อนยานในการสร้างการเว้นระยะห่างทางสังคมต่อผู้คน และวางใจต่อการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวเข้ามา จนเมื่อการติดเชื้อเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างน่าตกใจ และมีการเสียชีวิตเกิดขึ้น ด้วยความกังวลว่าสถานพยาบาลในพื้นที่ต่างๆ จะรองรับจำนวนผู้ติดเชื้อไม่เพียงพอ และการรักษาก็ยังหาหนทางที่มีประสิทธิภาพในการระงับยับยั้งอันตรายจากเชื้อไวรัสตัวนี้ไม่ได้ ในเวลาต่อมาจึงขยับมาตรการมาเป็นแบบเข้มข้นในทันที โดยที่ไม่ได้มีการเตรียมพร้อมสำหรับความแตกตื่นของประชาชน และผลกระทบที่จะตามมาทางด้านเศรษฐกิจ
การวางใจในช่วงต้น และความเข้มข้นที่สั่งการให้ปฏิบัติตามในทันทีของรัฐบาลนี่เอง ที่สร้างความตกอกตกใจและเสียหายแก่ภาคธุรกิจเป็นอย่างมาก ในส่วนภาคประชาชนนอกจากความไม่พอใจด้านความเป็นอยู่ที่ต้องถูกจำกัดพื้นที่แล้ว ยังมีความกังวลใจในเรื่องของปากท้องตามมา เนื่องจากว่า ในช่วงเวลานั้นมาตรการในเรื่องของการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบกว่าจะคลอดออกมาได้ก็ใช้เวลาอยู่นานแสนนาน อีกทั้งก็เหมือนจะมีปัญหาอยู่สม่ำเสมอในวิธีการ และความพร้อมของหน่วยงานของรัฐในการบริการประชาชนที่เดือดร้อน
แต่เมื่อระลอกสองเกิดขึ้น อาจเพราะมีความพร้อมด้านสาธารณสุขอย่างเต็มที่ มีความมั่นใจในด้านการระงับยับยั้งความป่วยไข้ที่มาจากไวรัสโควิดของบุคลากรทางการแพทย์ ตรงนี้เองที่ทำให้การปฏิบัติการในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดในหมู่ประชาชนได้รับความไว้วางใจมากขึ้น ที่สำคัญ ด้วยรูปแบบการสร้างความเข้าใจของ ศบค. ต่อประชาชน ในเรื่องจำนวนการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ว่าสามารถมีได้ ไม่ต้องกังวล เพราะทีมสาธารณสุขสามารถรับมือได้ทัน และการติดเชื้อที่มีอัตราสูงย่อมหมายถึงการตรวจหาที่มีประสิทธิภาพ นี่เองที่ทำให้ความกังวลของผู้คนลดน้อยลงจากการระบาดในระลอกแรก ส่วนความไม่พอใจในการถูกจำกัดพื้นที่ก็มีไม่มากนัก เพราะ ศบค. เลือกที่จะทำแบบไม่เข้มข้น หลังจากในระลอกแรกได้สอนให้ทางรัฐบาลได้ทราบแล้วว่า ความเข้มข้นของมาตรการควบคุมพื้นที่นั้น มีราคาที่ต้องจ่ายมหาศาลแค่ไหน และทำลายเศรษฐกิจไปแล้วเป็นมูลค่าเท่าไหร่ แต่ที่น่าหนักใจแทนรัฐบาลก็คือ ปัญหาที่ซุกเอาไว้ใต้พรมถูกรื้อออกมาอย่างมีอารมณ์ เมื่อต้นเหตุของการระบาดระลอกปัจจุบันนี้มีที่มาจากขบวนการพาแรงงานข้ามแดนแบบผิดกฎหมาย และการเปิดบ่อนลักลอบเล่นพนันอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้คือความรับผิดชอบของรัฐบาลที่ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงนำมาซึ่งคำถามต่อนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ว่าจะเอาอย่างไรต่อบุคคลที่มีความเชื่อมโยงต่อเรื่องผิดกฎหมายเหล่านี้ ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ การตั้งคณะกรรมการเพื่อหาแนวทางจัดการกับปัญหาเหล่านี้อีกครั้ง เฮ่อ!
มาตรการสำหรับการเยียวยาและช่วยเหลือประชาชน
ในระลอกแรกนั้น รัฐบาลเยียวยาประชาชนด้วยเงิน 5 พันบาท 3 เดือน ด้วยการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ “เราไม่ทิ้งกัน.com” พร้อมกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่สามารถรับความช่วยเหลือ ซึ่งต้องยอมรับว่ามีปัญหามาก ตั้งแต่การเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีของคนบางกลุ่ม การเข้าไม่ถึงสิทธิของประชาชนที่เดือดร้อน อาทิ คนขายของออนไลน์ พนักงานโรงแรม แรงงานตามมาตรา 33 นักดนตรี ฯลฯ และกระบวนการอันซับซ้อนสิ้นเปลืองงบประมาณ เวลา และทรัพยากรบุคคล
นอกจากนั้น ทางรัฐบาลได้กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาทเพื่อนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในด้านต่างๆ อาทิ 5 แสนล้านเพื่อเป็นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับธุรกิจ SME4 แสนล้านสำหรับกองทุนพยุงหุ้นกู้ที่มีภาระการชำระคืนที่หนักเกินสภาพคล่องของบริษัท และอีก 4 แสนล้านสำหรับโครงการของรัฐในการสร้างงาน และพัฒนาศักยภาพของเศรษฐกิจฐานราก รวมไปถึงการสนับสนุนการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในภาคการเกษตร (อีกเกือบ 6 แสนกว่าล้านเป็นค่าเยียวยา) อีกทั้งการปรับลดอัตราภาษี ช่วยค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ลดหรืองดดอกเบี้ย ออกสินเชื่อพิเศษ ฯลฯ แต่เมื่อเวลาผ่านไปปรากฏว่า มาตรการเหล่านี้ช่วยได้แต่ธุรกิจขนาดใหญ่ ส่วน SME ขนาดเล็กและคนทั่วไปเข้าไม่ถึงอานิสงส์เหล่านี้ และแม้มีการเรียกร้องไปยังรัฐบาลเพื่อทำการแก้ไขให้สิทธิต่างๆ ที่ออกมาสามารถส่งถึงมือประชาชนและภาคธุรกิจได้โดยง่าย และเพียงพอต่อการอยู่รอด แต่ผ่านไปเกือบปียังไม่มีการขยับเขยื้อนในเรื่องนี้จากทางรัฐบาล
สำหรับระลอกสองนี้ รัฐบาลแจกเงินอีกครั้ง ด้วยเงื่อนไข และจำนวนที่แตกต่าง กล่าวคือ 7 พันบาทเป็นเลขที่ออกของรอบนี้ จ่ายเป็นงวดๆ ในช่วงเวลา 2 เดือน และกำหนดให้ใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชั่นทางโทรศัพท์มือถือเท่านั้น ไม่สามารถเอาออกมาใช้เป็นเงินสดได้ แน่นอนว่า เสียงบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้มากันขรม
แต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งก็นับว่าเป็นความชาญฉลาดของรัฐบาลที่ดัดแปลงข้อดีของ “โครงการคนละครึ่ง” ที่ได้รับการตอบรับที่ล้นหลามมาใช้ ด้วยการบังคับการใช้จ่ายให้ไปยังเป้าหมายที่เป็นฐานของการหมุนเวียนเงินในระบบ เพื่อให้เงินที่ทางภาครัฐนำมาแจกจ่ายประชาชนเป็นงวดๆ รอบนี้ไหลไปยังช่องทางเศรษฐกิจที่ต้องการอย่างแท้จริง ส่วนหนึ่งจะคืนกลับทางภาครัฐเป็นภาษี อีกส่วนหนึ่งจะกลายเป็นการต่อทุนกิจการร้านค้า และอีกส่วนจะถูกแปลงเป็นข้าวปลาอาหารและของใช้ที่จำเป็น ที่สำคัญ ในเรื่องของการเข้าถึงสิทธินั้น ถ้าตัดในเรื่องของกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทางกระทรวงการคลังพยายามหาทางออกให้อยู่นั้น ต้องบอกว่า การใช้ฐานข้อมูลของประชาชนที่เข้าร่วมกับมาตรการของรัฐก่อนหน้านี้มาเป็นช่องทางในการส่งเงินถือว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่ก็ยังมีปัญหาในเรื่องของคุณสมบัติที่กำหนดเอาไว้อย่างไม่ครอบคลุมกลุ่มที่มีความเดือดร้อนได้ครบถ้วนทั้งหมด (แต่ก็ถือว่าใกล้เคียง)
ส่วนเรื่องมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ก็หวังว่าจะได้แก้ไขการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำในวงเงิน 5 แสนล้าน ที่ถูกนำไปใช้ไม่ถึงครึ่งได้เสียที หลังจากที่ทาง กมธ.ตรวจเงินกู้โควิด ได้ส่งเรื่องนี้ไปถึงมือนายกฯ เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมี 4 แสนล้านที่ใช้ไปเพียงน้อยนิด รวมไปถึงงบประมาณปี’63 และ’64 ที่หน่วยงานรัฐควรต้องเร่งการใช้จ่ายตามกรอบนโยบายที่วางแผนเอาไว้ได้เสียที ข้อเสียเรื่องความเชื่องช้าและทำงานแบบเช้าชามเย็นชามของการเป็น“รัฐราชการ” เช่นนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อคะแนนนิยมรัฐบาลอย่างแน่นอน
และทั้งหมดก็คือ การตรวจการบ้าน “รัฐบาลลุงตู่” กับระลอกสองของโควิด ที่ต้องยอมรับว่า ทำงานได้ดีกว่าในปีที่ผ่านมา แต่อนาคตข้างหน้าก็อย่าชะล่าใจ เพราะโควิด-19 กับคนไทย เชื่อว่าจะยังคงต้องอยู่กันไปอีกนาน
อรรฆพันธ์ อภิรักษ์พงศ์
(แทน จิตกร บุษบา)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี