เมื่อวันก่อน ในขณะที่ไปนั่งรับประทานอาหารอยู่ย่านเกษตร-นวมินทร์ได้ยินแม่ลูกคู่หนึ่งพูดจากันเรื่อง โหลดแอปพลิเคชั่นเพื่อรับเงินเยียวยาโควิด-19 จากรัฐบาล ได้ฟังจากผู้เป็นลูกแล้วสะดุดใจ ถ้อยคำที่กล่าวว่าโหลดกันเข้าไปเถอะ จ่ายกันไปเถอะจะคนละครึ่งหรือเราจ่ายเองหมด เงินที่กู้มาทั้งหมดอนาคตพวกหนูก็ต้องรับผิดชอบแทนทั้งหมดฟังแล้วหดหู่ใจครับ
ก็ย้อนกลับไป นึกถึง ดร.สุเมต สุวรรณพรหม ผู้ที่รับบทเล่าเรื่อง “เรื่องเล่าของป๋าเปรม” ทางคลื่นวิทยุเอฟเอ็ม 90.5ที่เคยเล่าเรื่องความยากจนของคนไทยในยุค รัฐบาลพลเอกเปรมติณสูลานนท์ ว่าเอาเข้าจริงก็ไม่นานมานี้เอง ผมเองก็ทันยุคทันสมัยที่พลเอกเปรม ได้ทุ่มเทเพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งในสังคมชนบทและในสังคมเมือง แต่ที่จดจำได้คือคนไทยยุคนั้น ไม่ได้ตะโกนขอเงินเยียวยาจากรัฐบาล รัฐบาลสมัยนั้นก็ไม่มีนโยบายแจกจ่ายเงินสดๆ ให้ประชาชน ปัญหาสำคัญของประเทศเราในสมัยพลเอกเปรม ก็มีมากมายแต่ ที่สำคัญ ปัญหาประเทศเมื่อ 40 ปีที่แล้ว กับปีนี้กลับเป็นปัญหาเดียวกัน คือ
1.ปัญหาความยากจน, 2.ปัญหาการว่างงาน และ 3.ปัญหาหนี้สินของประเทศ เพียงแต่พลเอกเปรมจะให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความยากจนก่อนเสมอ และลงมือทำลงมือแก้อย่างจริงจัง และเป็นรัฐบาลที่ไม่ก่อหนี้สินให้กับประเทศเอาไว้เลย ปัญหาหนี้สินที่มีอยู่ ก็เป็นหนี้สินเก่าๆ
ซึ่งสุดท้าย ก็ชวนคนไทยขับเคลื่อนนโยบายประหยัด นิยมไทยร่วมใจกันส่งออก จนแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่จะแก้ปัญหาความยากจน ก็ทำได้ในระดับหนึ่ง เพราะประเทศเราไม่มีเงินมากพอที่จะแก้ความยากจนของประชาชนให้หมดสิ้นไปได้ แต่พลเอกเปรมก็ไม่ละความพยายามดังคำพูดที่ท่านได้แถลงผลงานในสภาผู้แทนราษฎรความว่า “สิ่งที่ผมจะเรียนต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมและรัฐบาลชุดนี้ได้กระทำและพยายามทำอย่างมากที่สุดก็คือการทำให้ประชาชนโดยเฉพาะประชาชนในชนบทที่เราเรียกว่าประชาชนที่มีฐานะยากจนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้ได้พวกเราได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้ มากเป็นพิเศษเพราะพวกเราตระหนักและเชื่อว่าถ้าเราสามารถแก้ปัญหาความยากจนได้เราก็สามารถแก้ปัญหาของชาติในด้านอื่นๆได้แทบทั้งหมดเพราะฉะนั้นเราจึงทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างในเรื่องเหล่านี้ไปมาก”
เรื่อง แก้ปัญหาความยากจนนี้ พลเอกเปรมได้เร่งดำเนินการมาก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งที่ ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพกองทัพภาคที่ 2 ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ชนบทในภาคอีสาน การแก้ปัญหาลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นปัญหาหลักในขณะนั้นพลเอกเปรม พบว่า คนในชนบทยากจนคำว่ายากจน นี่คือว่าเขาไม่มีแม้แต่ข้าวสารที่จะหุงให้ลูกกินครบทุกมื้อ แล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปทำงาน งานรับจ้างก็ไม่มี พืชผลที่เพาะปลูกได้ก็ไม่มีราคา ลูกจะเรียนหนังสือ ก็ไม่ได้เรียน เพราะไม่มี โรงเรียน ในชนบทห่างไกลที่พอจะมีโรงเรียนบ้าง ก็มีครูไม่เพียงพอ ซึ่งสารพัดปัญหาในที่สุดท่านจึงตัดสินใจเริ่มต้นแก้ปัญหาประเทศชาติ แก้ปัญหาคอมมิวนิสต์ ซึ่งปัจจุบันเรียกกันด้วยวาทกรรมที่ดูดีคือปัญหาความมั่นคง และปัญหาสังคม
ทั้งหลาย ทั้งหมด คือแก้ที่ปัญหาความยากจน ท่านทำเรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง จนมาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอกเปรมก็ได้ขับเคลื่อนโครงการเพื่อช่วยเหลือชาวชนบทให้พ้นจากความยากจนได้อย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาของการแก้ปัญหาความยากจนคือเงิน ที่ประเทศเรามีเงินงบประมาณน้อย หรือความจริงก็คือประเทศเรายากจน ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญในการแก้ปัญหาความยากจนของคนในชาติ
ทันทีที่ เมื่อพลเอกเปรมก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2524 คณะที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและนักวิชาการที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีบางคนที่วิตกในสภาพความยากจนของประชาชนจำนวนมาก จึงเริ่มต้นผลักดันให้เกิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว การเริ่มต้นศึกษาความเหมาะสมของชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งอุตสาหกรรมหลักและท่าเรือน้ำลึกเพื่อพัฒนาประเทศ จึงเกิดขึ้น ซึ่งหากใครหยั่งรู้หัวใจของพลเอกเปรมในการตัดสินใจ ทำโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลตะวันออกได้ คงรู้ว่าเป้าหมาย คือการพัฒนาอุตสาหกรรมมันทำให้ได้เงินไปพัฒนาประเทศ ไปพัฒนาชนบท ไปแก้ปัญหาความยากจนได้จริงๆ
ใครจะไปคาดคิดโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออกทุกวันนี้คนไทยทั้งชาวเหนือ ชาวอีสาน ชาวตะวันตก แม้แต่ชาวใต้เองหอบลูกจูงหลานไปทำงานตั้งครอบครัว ส่งเงินกลับไปเลี้ยงพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ที่บ้านเกิด จนถึงทุกวันนี้นับล้านๆครอบครัว อีกทั้งโครงการที่วางแผนไว้อย่างเป็นระบบในเฟสที่ 3 ที่กำลังจะก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกขนาดยักษ์ระดับโลก ยื่นลงไปในทะเลที่มาบตาพุด จ.ระยอง ก็กำลังดำเนินการ ก็เป็นผลพวงมาจากการวางแผนของรัฐบาลพลเอกเปรม
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 5 สิงหาคม 2531 เวลา 20.30 น. พลเอกเปรมได้กล่าวอำลาประชาชนชาวไทยลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านก็ยังกล่าวด้วยถ้อยคำ
ส่วนหนึ่งว่า..ขณะนี้เราก็จะพูดกันได้ว่า เราจะลำบากน้อยลงกว่าแต่ก่อน แต่เราจะต้องไม่ลืมว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศยังอยู่ในฐานะยากจนโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยในชนบท ผมมีโอกาสคลุกคลีกับชนบทมานานและมากพอสมควรจนรู้จักชีวิตของคนเหล่านี้ดี นับตั้งแต่ผมเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นต้นมาก็ได้ทุ่มเทดำเนินการแก้ไขอย่างไม่ท้อถอย ปมเคยกล่าวอยู่เสมอว่า “ถ้าเราแก้ไขความยากจนได้เราจะแก้ปัญหาอื่นๆ ของชาติได้ง่ายขึ้นมาก”
โครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือคนยากจนในชนบท ที่ผมและรัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้วนั้นบรรลุเป้าหมายที่น่าพอใจหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลชุดใหม่จะช่วยดำเนินการต่อไปอีกเพียงเพื่อให้ทุกคนพออยู่พอกินได้
นี่คือวิสัยทัศน์ ของอดีตผู้นำประเทศไทยของเราคนหนึ่ง ที่รัฐบาลชุดนี้อาจจะไปแกะรอยปรับปรุงยุทธวิธีให้เหมาะสมกับปัจจุบันก็ได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี