วันเสาร์ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันมาฆบูชาปีนี้ตรงกับวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 โดยปกติวันมาฆบูชาจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 แต่เนื่องจากปีนี้เป็นปีอธิกมาสคือเป็นปีที่มีเดือน 8 สองหน ดังนั้นวันมาฆบูชาจึงต้องเลื่อนมาเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4
ดังนั้นชาวพุทธจึงพึงตั้งจิตตั้งใจว่าชีวิตเรานี้กำลังเข้าสู่เทศกาลมาฆบูชาอีกหนหนึ่งแล้ว และเตรียมเนื้อเตรียมตัวที่จะรับเอาประโยชน์จากวันมาฆบูชานี้ให้สมกับที่เกิดมาเป็นชาวพุทธ
วันมาฆบูชาเป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนา เป็นวันที่พระบรมศาสดาชุมนุมพระอรหันต์ครั้งใหญ่ที่สุดในโพธิกาลของพระองค์เพื่อแสดงโอวาทปาติโมกข์ ตามประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่สืบทอดประเพณีนี้มาตั้งแต่อดีต โดยบางโพธิกาลของพระพุทธเจ้าบางพระองค์ก็จะมีการชุมนุมพระอรหันต์แบบนี้สองครั้ง แต่ในโพธิกาลของพระสมณโคดมพระพุทธเจ้าจะมีการชุมนุมพระอรหันต์ครั้งใหญ่ครั้งนี้เพียงครั้งเดียว โดยมีพระอรหันต์ขีณาสพมาร่วมฟังโอวาทปาติโมกข์เป็นจำนวนมากถึง 1,250 รูป
ในจำนวนพระอรหันต์ 1,250 รูปนั้น เป็นพระอรหันต์ที่มีอดีตเป็นพวกชฎิล 1,000 รูป เป็นพวกปริพาชก 250 รูป โดยพวกปริพาชกนั้นบรรลุเป็นพระอรหันต์ 248 รูป คงเหลือแต่พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร ครั้นใกล้วันเพ็ญเดือน 3 พระโมคคัลลานะก็บรรลุเป็นพระองค์องค์ที่ 249
ครั้นถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ในปีนั้น พระสารีบุตรซึ่งยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าไปโปรดพระอีกรูปหนึ่งที่ถ้ำศุกรขาตา ในระหว่างที่พระสารีบุตรนั่งถวายงานพัดพระบรมศาสดานั้น เมื่อฟังธรรมแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เป็นองค์ที่ 250ในบรรดาพวกปริพาชก และเป็นพระอรหันต์องค์ที่ 1,250ซึ่งพำนักอยู่ที่ป่าเวฬุวัน เมืองพาราณสีในวันนั้น
พระอรหันต์ทั้ง 1,250 รูป ไม่มีใครเป็นพราหมณ์เลยแม้แต่รูปเดียว และพำนักอยู่ที่วัดเวฬุวันอยู่แล้วไม่ได้มาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมายเหมือนกับที่เข้าใจผิดกันมาแต่ก่อน
ในราตรีนั้นพระจันทร์เพ็ญเต็มดวงสว่างไสว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งเป็นการแสดงโอวาทครั้งสำคัญที่สุดในพุทธกาล แต่แทบไม่ได้เรียนไม่ได้สอนกันอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เพราะมัวแต่ไปพูดกันถึงเรื่องนอกพระพุทธศาสนา จึงทำให้ชาวพุทธไม่สามารถได้รับประโยชน์ตามสมควร
โอวาทปาติโมกข์ที่พระพุทธเจ้าแสดงในวันนั้นมีเนื้อหาสามเรื่อง คือ
เรื่องที่หนึ่ง ทรงแสดงว่านิพพานคือบรมธรรม คืออุดมการณ์สูงสุดของชาวพุทธทั้งหลายที่จะต้องไปและปฏิบัติเพื่อถึงซึ่งอุดมการณ์นี้คือนิพพาน นิพพานก็คือความเป็นอิสระสูงสุดที่เกิดจากการหลุดพ้น จากความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์จึงเป็นบรมสุข เป็นความว่างสูงสุด และเป็นความสุขขั้นสูงสุด และเป็นภารกิจอันสำคัญที่สุดของชาวพุทธที่จะต้องไปให้ถึงซึ่งพระนิพพานนี้
และพระนิพพานนั้นก็สามารถไปถึงในขณะที่มีชีวิตอยู่ ไม่ต้องรอชาติหน้า ไม่ต้องรอตายเสียก่อน เพราะการเข้าถึงพระนิพพานนั้นก็ต้องเข้าถึงในขณะที่
มีชีวิตอยู่
เรื่องที่สอง เมื่อทรงตรัสสอนอุดมการณ์สูงสุดของพระพุทธศาสนาคือนิพพานแล้ว ก็ทรงตรัสสอนตอนที่สองเรื่องการประพฤติปฏิบัติตนหรือการครองตนของชาวพุทธว่า ความอดทน ความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง การทำร้ายผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต การเบียดเบียนผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ การสำรวมในปาติโมกข์ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร การอยู่ในเสนาสนะที่สงัด และการประกอบความเพียรในการฝึกฝนอบรมจิต
โอวาทปาติโมกข์ตอนที่สองนี้เป็นการวางหลักการประพฤติปฏิบัติในพรหมจรรย์ของพระตถาคตเจ้า เพื่อให้เป็นที่ตั้งแห่งการอยู่เป็นสุขสบายตามอัตภาพ เพื่อการอยู่ร่วมในสังคมของนักบวชอย่างเรียบร้อยและการอยู่ร่วมในสังคมอันจะทำให้ได้รับการยอมรับนับถือเชื่อฟังการอบรมสั่งสอน
เรื่องที่สาม เป็นการตรัสสอนเกี่ยวกับขั้นตอนในการสอนผู้อื่น เพราะสมณะศากยบุตรนั้นเมื่อรู้ธรรมอันใดแล้วก็ต้องอบรมสั่งสอนผู้อื่นให้ประพฤติปฏิบัติและมีความรู้ตามอันเป็นภารกิจในการสืบทอดพระธรรมวินัยหรือพระพุทธศาสนา ซึ่งการอบรมสั่งสอนนั้นต้องสอดคล้องกับอัธยาศัยของแต่ละคน ซึ่งผู้สอนจะต้องหยั่งรู้ว่าบุคคลไหนจะต้องอบรมสั่งสอนในเรื่องอะไร
ทรงวางหลักการสอนพระพุทธศาสนาไว้เป็นสามขั้นตอน อาจจะเรียกว่าเป็นการวางหลักสูตรมาตรฐานก็ได้
ขั้นตอนที่หนึ่ง คือการสอนให้ละเว้นไม่กระทำบาปทั้งปวง ไม่ว่าบาปทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ จะต้องสอนให้ละ สอนให้เว้น ไม่กระทำบาปเหล่านั้นทำให้ไม่ต้องรับวิบากหรือผลจากการทำบาปนั้นให้เป็นที่เดือดร้อนกายใจในภายหลัง
ขั้นตอนที่สอง คือการอบรมสั่งสอนให้ทำกุศลให้ถึงพร้อม ซึ่งต้องเข้าใจว่าไม่ได้สอนให้ทำแต่ความดีหรือสอนให้ทำแต่บุญซึ่งมีความหมายแคบ และยังมีลักษณะที่เจือด้วยอามิสหวังผลตอบแทนความดีหรือบุญนั้นอยู่ โดยจะต้องอบรมสั่งสอนให้ทำกุศลให้ถึงพร้อมทั้งกาย วาจา และใจ เพื่อให้จิตใจของตนเองสงบ ว่างจากการถูกครอบงำด้วยอาสวะทั้งหลาย
ขั้นตอนที่สาม คือการอบรมสั่งสอนให้ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว นั่นคือการทำสมาธิเพื่อเจริญสติให้ตั้งมั่น ให้มีความบริสุทธิ์ ให้มีความสามารถควรแก่การงานในหน้าที่ของจิตเพื่อเจริญปัญญาเห็นความจริงตามความเป็นจริงแล้วสลัดออกจากความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ทั้งหลาย เข้าถึงภาวะที่เรียกว่าจิตเกษมคือพระนิพพาน
ดังนั้น ในโอกาสที่วันมาฆบูชาจะมาถึงอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นโอกาสที่ชาวพุทธทุกคนจะได้น้อมรำลึกถึงเรื่องโอวาทปาติโมกข์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในวันมาฆบูชาในครั้งกระโน้น ก็จะได้รับผลแห่งโอวาทปาติโมกข์นั้นให้บังเกิดแก่ตนตามควรแก่การทำความรู้ ทำความเข้าใจ และการปฏิบัติของแต่ละคนต่อไป

‘กรมการแพทย์’ชู 3 เทคโนโลยีการรักษาฟื้นฟู‘กะโหลกเทียม แขนขาเทียมและตาปลอม’
ช็อกกันทั้งซอย กล้องหน้ารถจับภาพ ชายป่วยซึมเศร้าโดดตึก3ชั้นสาหัส
วางขายแล้ว! จาก‘ข้าวดอ’สู่‘ข้าวเม่า’ ขนมโบราณ ฝีมือชาวนาอำนาจเจริญ
ประเทศแรกในเอเชีย! ‘ฟีฟ่า’เลือก‘ไทย’ เจ้าภาพฟุตบอลหญิง รายการ FIFA Series 2026tm
‘สืบยโสธร’รวบเครือข่ายโจรกรรมรถ จยย.ข้ามชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี