วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณา วาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าจะถูกปัดตกหรือได้ไปต่อ ตามญัตติที่เสนอโดย นายไพบูลย์ และนายสมชาย ในประเด็นปัญหาเรื่องปมหน้าที่ และอำนาจของรัฐสภา ต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยกระบวนการยกร่างใหม่ทั้งฉบับ โดยหลังจากศาลรับคำร้องไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้วและก็ได้ให้ผู้เกี่ยวข้อง สี่คนทำความเห็นเป็นหนังสือส่งมาภายในเมื่อวานนี้ วันนี้จึงเป็นนัดแรกที่ประชุม ซึ่งหากแล้วเสร็จ ผลเป็นอย่างไรก็จะส่งผลต่อการดำเนินการต่อของรัฐสภา โดยถ้าศาลพิจารณาว่าไม่สามารถทำได้ การพิจารณา 2 วาระที่โหวตผ่านมาแล้วเป็นอันต้องตกไปหรือไม่ ? แต่หากศาลรัฐธรรมนูญไฟเขียวให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถเดินหน้าต่อไปได้ กระบวนการจะเป็นอย่างไรต่อนั้น ก็ต้องดูท่าทีประธานรัฐสภาต่อเรื่องนี้ด้วยว่าจะยืนยันการลงมติวาระที่ 3 ในวันที่ 16 – 17 มีนาคม หรือไม่ ? และถ้าศาลยังพิจารณาไม่เสร็จจะเป็นอย่างไรต่อ แต่ล่าสุดรองนายกฯ วิษณุ ก็ออกมาพูดในประเด็นนี้เช่นกันว่า ถ้าศาลสั่งว่าทำไม่ได้นั้น ก็ไม่ต้องประชุมวาระ 3 กันแล้ว
ในประเด็นการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ต่างก็เป็นที่จับตามองของทุกฝ่าย ซึ่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คุณหญิงสุดารัตน์ ตัวแทนกลุ่มสร้างไทย ก็ออกมาพูดถึงในประเด็นเรื่องศาลรัฐธรรมนูญด้วยเช่นกัน โดยพูดไปในทำนองว่า ถ้าศาลพิจารณาเห็นว่าศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัยในเรื่องนี้ ก็จะยิ่งทำให้ระบบรัฐสภาเข้มแข็งยิ่งขึ้น และบอกอีกว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐสภาไม่มีอำนาจก่อนการลงมติวาระที่ 3 ฝ่ายค้านก็ต้องคิดให้ดีว่าจะผ่านร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่มี ส.ส.ร. เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่?หากฝ่ายค้านลงมติเห็นชอบ วาระที่ 3 โดยยังไม่มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าส่วนที่เกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย ส.ส.ร.นั้นใช้ไม่ได้ เพราะรัฐสภาไม่มีอำนาจ ก็จะทำให้รัฐบาลโดยความร่วมมือกับ สว.สามารถแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ทุกประเด็นเว้นแต่จะไม่ผ่านประชามติ ดังนั้น คุณหญิงก็ได้แนะให้ฝ่ายค้านไปหาวิธี ไม่ให้มีการลงมติวาระ 3 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยเสร็จ
การที่คุณหญิงสุดารัตน์ ออกมาพูดตอนนี้ เพราะมองว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเป็นทางออกให้กับความขัดแย้งของบ้านเมืองในขณะนี้ โดยนำปัญหามาแก้ในสภาแทน แต่ปัญหาต่างๆ หรือความขัดแย้งต่างๆ นอกสภา จะหยุดอยู่ตรงแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ดูเหมือนก็ยังไม่แน่
เพราะเอาเข้าจริงกระแสข่าวนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนน้อยกว่าข่าวการชุมนุมนอกสภาของกลุ่มเยาวชน ที่ยังมองปัญหาการเมืองว่าอยู่ที่รัฐบาลเป็นหลัก และดูเหมือนความรุนแรงกำลังเริ่มจะมีมากขึ้นหรือไม่ ?
โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กลุ่มประชาชนปลดแอก ที่คราวนี้มาในชื่อ Restart Democracy ประชาชนสร้างตัวหรือ “รีเด็ม” (REDEM) ได้มีการนัดรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปยังกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภ รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมกับระบุเป้าหมายในการชุมนุมครั้งนี้ด้วยกัน 3 ข้อ คือ 1.จำกัดอำนาจสถาบันฯ 2.ขับไล่ทหารออกจากการเมือง และ 3.ลดความเหลื่อมล้ำด้วยรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า แต่ประเด็นสำคัญของวันนั้นที่สื่อต่างๆ นำเสนอกลับไม่ใช่เนื้อหาของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต้องการจะสื่อสาร แต่กลับเป็นเรื่องการใช้ความรุนแรงของทั้งสองฝ่าย ซึ่งสื่อแต่ละสื่อก็นำเสนอในมุมของตนเอง ที่ก็อาจเป็นฉนวนเหตุปลุกความไม่พอใจของประชาชน จนนำไปสู่ความขัดแย้งขึ้นไปอีกของสังคมไทยหรือไม่ ?
โดยเหตุการณ์ในวันนั้นเกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุม และตำรวจ ซึ่งก็เป็นการกระทำของทั้งสองฝ่าย อยู่ที่สื่อฝ่ายใดจับภาพใครมานำเสนอ เพราะหากไปรวบรวมจริงๆ ก็จะพบทั้งกรณีตำรวจจัดการผู้ชุมนุม และพบกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมขว้างปาก้อนหินหรือข้าวของไปจนถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้ได้รับบาดเจ็บอยู่รายหลาย รวมไปถึงข่าวตำรวจหนึ่งนายเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ ในมุมของผู้ชุมนุมที่มองว่ารัฐไม่ควรปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยกระสุนยาง และแก๊สน้ำตา แต่ในมุมมองของตำรวจก็มองในเรื่องการรักษาความสงบจากการที่กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มใช้ความรุนแรง ไม่ว่าลำดับเหตุการณ์จริงจะเป็นอย่างไรแต่การนำเสนอข่าวของแต่ละฝ่ายยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้งของประชาชนสองฝ่ายที่คิดต่างกันมากขึ้น จนนายกรัฐมนตรีต้องออกมาปรามเรื่องการนำเสนอข่าว
และก็เป็นเช่นนั้น สุดท้ายก็ไม่ค่อยมีใคร ได้พูดถึงเรื่องเนื้อหาที่ผู้ชุมนุมเรียกร้อง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือความรุนแรงที่ดูเหมือนจะมีมากยิ่งขึ้น และในเรื่องความรุนแรงนี้ ก็ส่งผลกระทบมาแล้วกับกลุ่มผู้ชุมนุม ในทุกยุคทุกสมัย ซึ่งเมื่ออาทิตย์ก่อนศาลก็พึ่งตัดสินคดีของกลุ่ม กปปส. ที่ชุมนุมกันเมื่อปี’57 ไป โดยมีบทลงโทษตั้งแต่จำคุกทันที ตัดสิทธ์ิทางการเมือง และรอลงอาญา
ซึ่งการตัดสินดังกล่าวก็จัดเป็นแบบบรรทัดฐานที่ค่อนข้างชัดเจนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐในการดำเนินการ ร่วมถึงการประเมินของหลายฝ่ายด้วยว่า เรื่องใดที่จะเข้าข่ายผิดกฎหมาย ดังนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมที่เป็นเยาวชนก็ต้องระมัดระวังตัวเองไม่ให้ทำกิจกรรมใดๆ ที่เสี่ยงจะผิดกฎหมาย เช่น ยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนทั่วประเทศเกิดความแตกแยก บุกสถานที่ราชการ และปิดกั้นขวางเส้นทางจราจร ซึ่งอาจจะส่งผลให้ มีตอนจบอาจเหมือนกับแกนนำ กปปส.
อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการของการตัดสินลงโทษกลุ่ม กปปส. ไม่ได้ส่งผลต่อ สถานะของกลุ่มผู้ชุมนุมเพียงอย่างเดียว แต่ก็ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงบางอย่างของรัฐบาลด้วยหรือไม่? เพราะในการตัดสินดังกล่าวมี 3 รัฐมนตรีในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ถูกพิพากษาจำคุกด้วย และแม้คดีจะยังไม่สิ้นสุด แต่ต้องหลุดจากตำแหน่งทันที เพราะขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ
เป็นเหตุให้ เก้าอี้รัฐมนตรีต้องว่างลง 3 ที ประกอบด้วย 1.รมว.ดิจิทัลฯ 2.รมว.ศึกษาฯ และ 3.รมช.คมนาคม แบ่งเป็นโควตาของ พรรคพลังประชารัฐ 2 ตำแหน่ง และพรรคประชาธิปัตย์ 1 ตำแหน่ง ซึ่งตำแหน่งที่ว่างลงนี้ก็มีการคาดการณ์กันไปต่างๆ นานา ว่าจะเป็นการปรับเล็กที่จะเป็นการจัดคนมาลงตามตำแหน่งที่ว่างลง หรือจะเป็นการปรับครั้งใหญ่ที่จะมีการสลับเก้าอี้กันข้ามกระทรวง ก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าเป็นไปในรูปแบบไหน
แต่ไม่ว่านายกฯ จะปรับในรูปแบบไหนพรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ ดูเหมือนจะเป็นพรรคที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้หนักสุด เพราะต้องเสียทั้งเก้าอี้รัฐมนตรี และอาจจะต้องเสีย สส.เขต อีกจำนวน 2 คน ซึ่งยังต้องรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ประกอบกับยังต้องลุ้นว่าจะเสียเก้าอี้ สส. ในจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วยหรือไม่ เพราะการเลือกตั้งซ้อมในจังหวัดนครฯ ครั้งนี้เป็นการแข่งกันระหว่างพรรคร่วมอย่าง ประชาธิปัตย์ และพลังประชารัฐ และถ้าเกิดพรรคประชาธิปัตย์เลือกตั้งแพ้ ก็จะยิ่งทำให้จำนวน สส.ลดลงมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้เก้าอี้รัฐมนตรีลดลงไปด้วยหรือไม่ ?
โดยที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ออกมายืนยันแล้วว่าทุกอย่างยังคงเป็นไปตาม “โควตาเดิม” เหมือนเมื่อครั้งจัดตั้งรัฐบาล นั้นก็หมายความว่าไม่เพิ่มไม่ลด แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นในรูปแบบไหน เพราะกลุ่มการเมืองในพรรคพลังประชารัฐก็ดูเหมือนจะช่วงชิงเก้าอี้กันเอง หรือตามข่าวก็พบว่าพรรคภูมิใจไทยที่ก็หวังจะได้เก้าอี้รัฐมนตรีเพิ่ม จากการที่มี สส. เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจนถึงตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงที่พรรคภูมิใจไทยหรือพรรคพลังประชารัฐจะได้เก้าอี้เพิ่มอีก 1 ในขณะที่ก็ยังไม่รู้ว่าใครจะเสียอีก 1 หรือจะเป็นการปรับรวมหรือไม่ ?
คงต้องติดตามกันต่อไปว่าท้ายที่สุดแล้วผลที่ออกมาจะเป็นในรูปแบบไหน แต่ที่แน่ๆ ดูเหมือนสถานการณ์ตอนนี้นายกรัฐมนตรีจะไม่เสียอะไรเลย และอาจดูเหมือนจะคุมเกมทั้งในและนอกสภาได้นิ่งกว่าเดิมอีกด้วยหรือไม่ ?
“ยังมีผู้ใดสามารถยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับท้องฟ้า ?
ยังมีผู้ใดสามารถซับซ้อนยิ่งกว่าสรรพสิ่งในใต้หล้า ?
ยังมีผู้ใดลึกซึ้งกว่าการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งได้มากกว่าธรรมชาติ ?
ทุกสรรพสิ่งในใต้แผ่นฟ้า ความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ
ก็คืออาจารย์อันประเสริฐสุดของเจ้า”
โกวเล้ง จากหนังสือ มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี