ค่าโง่โฮปเวลล์ 25,000 ล้านบาท เป็นเหมือนแผลกลัดหนองสำหรับประเทศไทย
โครงการที่ล้มเหลว ฝากเสาโด่เด่ไว้เป็นอนุสรณ์ แถมด้วยค่าโง่มหาศาล
ที่ผ่านมา ทางการต่อสู้จนถึงชั้นศาลปกครองสูงสุดแล้ว ก็ยังแพ้
ขอรื้อคดีใหม่ ก็ไม่ได้ ศาลปกครองชี้ว่าไม่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมาย
แต่ล่าสุด ก็เหมือนได้พบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ จากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
1. ไม่นานมานี้ บริษัทเอกชนคู่กรณีเพิ่งจะส่งหนังสือถึงทางการไทย จี้ให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด พร้อมแจ้งว่าถ้าไม่จ่ายตามคำพิพากษาก็จะร้องขอต่อศาลเพื่อขอบังคับคดี อ้างว่าที่ผ่านมาขอเจรจากับหน่วยงานในภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็ไม่ปรากฏผลเป็นรูปธรรม
พูดง่ายๆ คือ เค้าตามทวงให้จ่าย ดอกเบี้ยก็ทับถมไปเรื่อยๆ
2. งานนี้ ต้องชื่นชมนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา, รัฐมนตรีคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ, ที่ปรึกษานายกฯนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ ที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติจนถึงที่สุด
3. โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานคร หรือ“โฮปเวลล์” เริ่มมาจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2532 (รัฐบาลพลเอกชาติชาย) มีมติเห็นชอบในหลักการ ให้กระทรวงคมนาคมไปดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟยกระดับ โดยให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนก่อสร้าง
ตั้งแต่เริ่มต้น โครงการนี้ก็มีข้อพิรุธหลายประการ เช่น
รายละเอียดโครงการไม่ตรงตามมติ ครม.
การดำเนินงานของคณะกรรมการฯ รวดเร็วผิดปกติ และให้สิทธิประโยชน์มากกว่าตามหลักการที่เป็นมติ ครม.
มีการแทรกแซงรายละเอียดโครงการโดยนักการเมือง และคณะกรรมการฯ มีการ
เอื้อประโยชน์ให้เอกชนต่างชาติบางราย
มีการเสนอเงื่อนไขไม่ตรงตามประกาศของคณะกรรมการฯ
มีความผิดปกติในการร่างสัญญาสัมปทาน และการลงนามในสัญญาสัมปทาน ฯลฯ
ในที่สุด ก็ปรากฏว่า มีเอกชนยื่นข้อเสนอรายเดียว
ลงนามกันในยุครัฐมนตรีคมนาคม ชื่อ นายมนตรี พงษ์พานิช เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2533
เป็นสัญญาร่วมทุนระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) และเอกชน ซึ่งเป็น
นักลงทุนต่างชาติ
จากนั้น โครงการก็สร้างล่าช้า ลากยาว ไม่เสร็จไม่สิ้น มีปัญหาเรื่องการส่งมอบพื้นที่ ก่อนจะมีการบอกเลิกสัญญาอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 2541
หลังจากนั้น เอกชนก็ดำเนินการเรียกค่าเสียหาย ผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการ ก่อนจะฟ้องไปที่ศาลปกครอง โดยที่ฝ่ายรัฐ ร.ฟ.ท. ก็เรียกร้องค่าเสียโอกาสด้วยเช่นกัน
เรื่องนี้ คณะอนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยชี้ขาดให้ ร.ฟ.ท และกระทรวงคมนาคมใช้เงินแก่เอกชน
ร.ฟ.ท. และกระทรวงคมนาคม ฟ้องคดีต่อศาลปกครองชั้นต้น ชี้ว่า คดีขาดอายุความ เพราะเอกชนเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการเกินกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้แห่งการเสนอข้อพิพาท คือ วันที่ 30 มกราคม 2541 แต่เสนอข้อพิพาทในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547 ทั้งนี้ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีศาลปกครอง พ.ศ. 2542 จึงพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ต่อมา เอกชนอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ศาลชี้ว่า ข้อพิพาทนี้เกิดขึ้นก่อนศาลปกครองเปิดทำการ จึงต้องนับอายุความตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการคือวันที่ 9 มีนาคม 2544 เมื่อเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547 เป็นการยื่นภายในกำหนดเวลา 5 ปี คดีจึงไม่ขาดอายุความ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น ให้บังคับไปตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
22 เม.ย.2562 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษา สั่งกระทรวงคมนาคม และ ร.ฟ.ท.จ่ายค่าเสียหายให้ โฮปเวลล์ โฮลดิ้งส์ จำกัด จำนวน 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี
หลังจากนั้น ทางการได้ร้องต่อศาลปกครองขอพิจารณาคดีใหม่ แต่เงื่อนไขไม่เข้าองค์ประกอบ
4. อาจารย์ชูชาติ ศรีแสง ชี้ว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2564 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า มติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดครั้งที่ 18/2545 เรื่อง ปัญหาเกี่ยวกับระยะเวลาการฟ้องคดีปกครองเป็นการออกระเบียบตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 44 แต่มิได้ดำเนินการตามมาตรา 5 และมาตรา 6 วรรคหนึ่ง จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง และมาตรา 197 วรรคสี่
หมายความว่า มติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดครั้งที่ 18/2545 ที่กำหนดให้นับเวลาการฟ้องคดีปกครองตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการไม่ได้ดำเนินตามที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงขัดรัฐธรรมนูญ เมื่อขัดรัฐธรรมนูญก็ไม่อาจนำมาใช้บังคับได้
5. พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ยืนยันว่า เมื่อใดศาลรัฐธรรมนูญส่งคำวินิจฉัยฉบับสมบูรณ์มาที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ก็จะแจ้งกลับไปกระทรวงคมนาคม และ ร.ฟ.ท. ทั้ง 2 หน่วยงานคงนำคำวินิจฉัย ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานข้อมูลใหม่ ไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอรื้อฟื้นคดีจ่ายค่าเสียหายโฮปเวลล์ได้ แต่ที่สุดแล้วจะมีผลให้รัฐไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายหรือไม่ เป็นดุลยพินิจของศาลปกครอง ไม่ขอก้าวล่วง
“ผมคิดว่าเป็นข้อมูลใหม่ ที่อาจทำให้ผลการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดที่พิพากษาให้ ร.ฟ.ท.ต้องจ่ายค่าเสียหายให้โฮปเวลล์ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ เพราะทุกคดีมีอายุความ การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเช่นนี้ ก็อาจทำให้มติที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดที่เป็นประเด็นพิพาท ไม่สามารถนำมาใช้บังคับได้ ซึ่งก็จะมีผลให้การฟ้องคดีของโฮปเวลล์ น่าจะเป็นฟ้องเมื่อคดีขาดอายุความแล้ว” พล.อ.วิทวัสกล่าว
6. ก่อนหน้านี้ รัฐบาล คสช. ที่มีนายกฯชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยต่อสู้เพิกถอนค่าโง่โครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านจนประสบความสำเร็จมาแล้ว หากรัฐบาลปัจจุบัน ผู้นำคือพลเอกประยุทธ์คนเดิมเดินหน้าต่อสู้คดีจนสำเร็จได้จริง ก็จะเป็นผลงานชิ้นโบแดงอีกครั้ง
ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาเช่นนี้ “ให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพัน รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ” และ “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมายกฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”
เรียกได้ว่า เป็นคุณแก่การเพิกถอนค่าโง่ หรือไม่ต้องถูกบังคับจ่ายค่าโง่ 25,000 ล้านบาทอย่างยิ่ง
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี