พม่าได้เข้าเป็นสมาชิกอาเซียนเมื่อปี ค.ศ.1997(พ.ศ.2540) ขณะที่ยังบริหารงานโดยรัฐบาลทหาร จนกระทั่งในปี ค.ศ.2008 (พ.ศ.2551)พม่าถึงได้มีกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อมุ่งหน้าไปสู่การเป็นรัฐบาลพลเรือนภายใต้ระบอบประชาธิปไตย แต่เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ค.ศ.2021 (พ.ศ.2564) พม่าก็เกิดการรัฐประหารจนกลับไปปกครองโดยรัฐบาลทหารอีกครั้งหนึ่ง
ในการนี้ ประชาคมโลก โดยคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุดขององค์การสหประชาชาติได้เรียกร้องให้รัฐบาลทหารพม่ารีบคืนประชาธิปไตย และยุติการใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ประท้วง รวมทั้งปลดปล่อยนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวให้เป็นอิสระ แถมยังเรียกร้องให้อาเซียน หรือประชาคมอาเซียน ให้ช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการคืนประชาธิปไตยให้กับชาวพม่า เพราะต่างมองเห็นว่าพม่าอยู่ในครอบครัวอาเซียน เรื่องนี้อาเซียนจึงน่าจะว่ากันเองได้
แต่แล้วประชาคมโลกก็ต้องผิดหวัง ส่วนชาวอาเซียนด้วยกันเองก็ดูท้อใจ เนื่องจากผู้นำอาเซียนกลับไม่มีท่าทีแข็งขันกับฝ่ายกองทัพทหารพม่า ที่ยึดอำนาจไปจากประชาชนชาวพม่า และเดินหน้าปราบปรามกันอย่างรุนแรงอีกด้วย
เท่ากับว่า ผู้นำอาเซียน 9 ประเทศ ได้ปล่อยให้ผู้นำทหารพม่าปู้ยี่ปู้ยำชาวพม่าต่อหน้าต่อตาอย่างไม่แยแส และไม่คำนึงถึงผลกระทบ ผลร้ายต่ออาเซียนโดยรวม การนี้ก็แสดงว่าอาเซียนในภาพรวมนั้นไร้จิตวิญญาณและจุดยืนที่ว่าด้วยความถูกต้องชอบธรรม ว่าด้วยการละเว้นการประหัตประหารผู้คนพลเมือง ว่าด้วยการลิดรอนสิทธิเสรีภาพและการสร้างอาณาจักรแห่งความหวาดกลัว โดยเห็นได้จากการที่ผู้นำอาเซียนประเทศอื่นๆ ปล่อยให้รัฐบาลหนึ่งใด เช่นในกรณีนี้รัฐบาลทหารพม่าทำอะไรตามอำเภอใจ โดยไม่คำนึงถึงกฎกติกาโลก และไม่มีผู้ใดคิดคำนึงถึงหัวอกและความปลอดภัย และความผาสุกของชาวพม่า ซึ่งก็เป็นชาวอาเซียนแต่อย่างใด
เหตุการณ์ที่พม่านี้ได้บ่งบอกสังคมโลกว่า บรรดาผู้นำอาเซียนต่างๆ นั้น ต่างก็มีความเป็นเผด็จการนิยมฝังอยู่ในตัวตน จึงมิได้คิดเอาจริงเอาจังกับเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน และฉะนั้น ก็มีนัยเห็นดีเห็นงามกับการยึดอำนาจด้วยกำลัง โดยอ้างไปเรื่อยว่า มันเป็นเรื่องกิจการภายในของพม่า ซึ่งเป็นการแอบอยู่เบื้องหลังของวลีนี้เพื่อซ่อนเร้นความรู้สึกนึกคิด หรือการแก้ต่างของฝั่งตนเองว่า ฝักใฝ่ในความเป็นเผด็จการเช่นกันกับแม่ทัพนายกองพม่า หรือหากไม่เป็นเผด็จการนิยม แต่ก็ไม่แสดงออกซึ่งการคัดค้านไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติยึดอำนาจ ก็เพราะขาด “กระดูกสันหลัง”
ทั้งหมดนี้ก็บ่งบอกว่า ประชาคมอาเซียนนั้นใช้การไม่ได้ ในการที่จะส่งเสริมความก้าวหน้าของชาวอาเซียน แต่เป็นแค่องค์กรที่ตอบสนองกลุ่มอำนาจ และตัณหาต่างๆ ที่มีอยู่เท่านั้น มิได้ร่วมแรงร่วมใจในการสร้างศักดิ์ศรีเกียรติภูมิ และความเป็นปึกแผ่นของอาเซียน แต่มีไว้เพื่อให้ดูดีในสายตาของภายนอก และเป็นเครื่องมือกลไกเพื่อให้ผู้นำทั้ง 10 ประเทศ กดขี่ประชาชนพลเมืองต่อไป
เหตุการณ์ปฏิวัติที่พม่า จึงสะท้อนว่า อาเซียนนั้นเป็นองค์กรที่กลวง มีไว้เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ผู้นำ แต่กดขี่ชาวอาเซียน 650 ล้านคนเท่านั้นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องสร้างอาเซียนกันใหม่ ที่มีพื้นฐานอยู่บนหลักประชาธิปไตย และหลักการเคารพสิทธิมนุษยชนและอาเซียนใหม่นี้จะต้องเป็นองค์กรที่ชาวอาเซียนทั้ง 650 ล้านคน ร่วมเป็นเจ้าของ และร่วมกันขับเคลื่อนอาเซียนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ฉะนั้น เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของอาเซียนในรูปโฉมใหม่ คือ ทุกประเทศสมาชิกจะต้องมีการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนชาวอาเซียนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง และลึกซึ้ง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี