เมื่อกว่า 150-170 ปีมาแล้ว ญี่ปุ่นก็เหมือนกับหลายๆ ประเทศในทวีปแอฟริกา ในทวีปเอเชีย และในทวีปอเมริกาใต้ ที่ถูกฝ่ายยุโรปตะวันตก รวมทั้งชาวอเมริกัน (ที่เดิมเป็นชาวยุโรปที่ไปตั้งรกรากอยู่ที่ทวีปอเมริกาเหนือ) ทำการรุกราน เข้ามาครอบครอง หรือไม่ก็ถูกบีบบังคับให้เปิดประเทศ
แต่ญี่ปุ่นในขณะนั้นกลับสามารถปรับตัว ปรับระบบการเมืองการปกครอง ปรับระบบเศรษฐกิจขึ้นมากลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม และสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกองทัพ ทั้งขีดความสามารถของทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยภายในระยะเวลาเพียงแค่ 50 ปี (ในช่วงค.ศ. 1850-1900 โดยประมาณ)
จนช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นแข็งแกร่งขนาดสามารถกรีฑาทัพเข้าไปยึดครองบางส่วนของจีนโดยเฉพาะทางตอนเหนือ และจัดตั้งประเทศขึ้นมาใหม่ภายใต้ชื่อ แมนจูโกะ พร้อมกับยึดครองเกาะไต้หวัน ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีนอีกด้วย
นอกจากนั้น ในปี ค.ศ. 1904-05 ญี่ปุ่นได้ประกาศศักดาด้วยการทำลายล้างกองเรือรบของอาณาจักรรัสเซีย และอีกไม่กี่ปีต่อมาก็เดินทัพเข้ายึดครองเกาหลี จวบจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
ยิ่งไปกว่านั้น ในปี ค.ศ. 1941 ญี่ปุ่นพัฒนาไปจนสามารถส่งกำลังไปบุกโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐฯที่ตั้งอยู่ในหมู่เกาะฮาวายกลางมหาสมุทรแปซิฟิก และตีรุกเขตปกครองของอังกฤษ และฝรั่งเศส ทั้งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้
กล่าวได้ว่า ญี่ปุ่นนั้นเป็นเจ้าสงครามอยู่ประมาณ50 ปี แต่สุดท้ายต้องมาล่มสลายพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยระเบิดปรมาณูของสหรัฐอเมริกา และตกเป็นประเทศในบังคับบัญชาของสหรัฐฯ อยู่ระยะสั้นๆ โดยการยอมรับการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และการจัดตั้งระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ การยกเลิกโดยสิ้นเชิงซึ่งลัทธิทหารนิยม อำนาจนิยม และการคลั่งชาตินิยมอีกทั้งญี่ปุ่นป้องกันตัวเองด้วยกองกำลังป้องกันประเทศ(Self defense forces) และมิใช่ด้วยกองทัพเหมือนกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
นอกจากนั้น ญี่ปุ่นก็ต้องยอมให้สหรัฐฯ เข้ามาจัดวางกองกำลังอยู่ในดินแดนของญี่ปุ่นแบบไม่มีกำหนด นัยหนึ่งก็เพื่อร่วมกันต่อต้านการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์จากอดีตสหภาพโซเวียต จากจีนคอมมิวนิสต์ และจากคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ แต่อีกนัยหนึ่งก็เสมือนเป็นการควบคุม ติดตาม สอดส่อง ดูแล ให้ญี่ปุ่นอยู่ในร่องในรอย ไม่มีความคิดที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นรัฐทหารและคุกคามเพื่อนบ้านอีกต่อไป
ทั้งนี้กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นจวบจนปัจจุบัน มีเขตปฏิบัติการในอาณาบริเวณรอบๆ เกาะต่างๆ ของญี่ปุ่นเท่านั้น และไม่สามารถล่วงล้ำเพื่อสร้างความไม่สบายอกสบายใจให้กับประเทศเพื่อนบ้านต่อไป
จัดได้ว่าตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองดังกล่าว จนถึงประมาณทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 21 นี้ ญี่ปุ่นจัดได้ว่าเป็นประเทศใฝ่สันติภาพ (Peace loving) และมีบทบาทสำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ความมั่งคั่งมั่งมี และคุณภาพชีวิตของชาวโลกด้วยการลงทุนและด้วยการให้ความช่วยเหลือทางด้านการพัฒนาต่างๆ แก่ประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
จากการที่ญี่ปุ่นเคยเป็นเจ้าสงคราม และก้าวมาเป็นเจ้าสันติภาพดังกล่าว มาบัดนี้ญี่ปุ่นกำลังทำตัวเป็นเจ้าพันธมิตร เพราะมีการเสริมสร้างกระชับความเป็นพันธมิตรกับประเทศต่างๆ มากมาย ทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และภูมิภาคยุโรป ดังจะเห็นได้จากการที่ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมกับสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และอินเดีย ในการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรสี่เส้า - QUAD และได้กระชับความร่วมมือสามเส้ากับสหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้ กระชับความร่วมมือสามเส้ากับสหรัฐอเมริกาและฟิลิปปินส์ กระชับความร่วมมือสามเส้ากับสหรัฐอเมริกาและไต้หวัน และกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีกับเวียดนาม อินเดีย ออสเตรเลีย เป็นต้น นอกจากนั้น ญี่ปุ่นก็ได้เข้าร่วมเป็นเสมือนพันธมิตรกับองค์การนาโตในการให้ความช่วยเหลือยูเครน เพื่อต่อต้านการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย และในการเสริมสร้างความเป็นพันธมิตรดังกล่าวนี้ ญี่ปุ่นก็เพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง การพัฒนาอุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งล่าสุดญี่ปุ่นกำลังสร้างเครื่องบินขับไล่ร่วมกับอังกฤษและอิตาลี และเริ่มพิจารณาเรื่องอุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อการส่งออก
โดยทั้งหมดนี้ หากกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น จะสามารถไปปฏิบัติการร่วมกับประเทศพันธมิตรในแดนไกลเพิ่มเติมจากการร่วมกันต่อต้านการก่อการร้ายสากลหรือการสนับสนุนทางด้านการส่งกำลังบำรุงให้กับสหรัฐฯ เมื่อเกิดกรณีประเด็นปัญหา การขัดแย้งสู้รบที่ตะวันออกกลาง รวมทั้งที่อัฟกานิสถาน รัฐบาลญี่ปุ่นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนและอาจมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายรัฐธรรมนูญบางมาตราหรือเพิ่มบางมาตรา เพื่ออำนวยให้กองกำลังป้องกันตนเองฯ ดำเนินการเป็นพันธมิตรร่วมได้อย่างแข็งขัน
แล้วอะไรเล่าที่เป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงนโยบายท่าทีของญี่ปุ่นจากการเป็นประเทศที่ใฝ่หาสันติภาพ และพึ่งพาการคุ้มครองป้องกันจากสหรัฐอเมริกา มาสู่การเป็นตัวของตัวเองและพึ่งพาตนเองมากยิ่งขึ้น?
คำตอบก็มิได้มีอะไรสลับซับซ้อน นั่นก็เพราะญี่ปุ่นกำลังถูกคุกคามจากทั้งเกาหลีเหนือ จีน และรัสเซีย ญี่ปุ่นมีปัญหาค้างคาในเรื่องข้อพิพาททางดินแดนในทะเลทั้งกับจีนและรัสเซีย อีกทั้งจีนกับรัสเซีย และรัสเซียกับเกาหลีเหนือ ก็มีความเป็นพันธมิตรกันมากยิ่งขึ้น โดยทั้ง 3 ประเทศเห็นว่าญี่ปุ่นเป็นสมุนของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นศัตรู
ตัวสำคัญของทั้ง 3 ประเทศ และขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็เผชิญกับปัญหาเงื่อนไขกับสหรัฐฯ ว่า จะต้องลงขันและลงแรง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนเองมากที่สุด หรือตีกินกับความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จากสหรัฐฯ อีกต่อไปไม่ได้และการมีสำนึกว่าการพึ่งตนเองให้มากที่สุดเป็นการประกันและป้องกันการอยู่รอดที่ดีที่สุดเพราะถึงจุดหนึ่งก็ไม่ค่อยแน่ใจว่า ฝ่ายสหรัฐฯจะยอมเสียเลือดเนื้อเพื่อความอยู่รอดของญี่ปุ่นแค่ไหน
ฉะนั้นญี่ปุ่นจะต้องสามารถช่วยตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในกรอบของการเป็นพันธมิตรกับมิตรประเทศต่างๆ และในการเป็นพันธมิตรนี้ในแง่หนึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีที่ว่า จะเป็นการประกันว่าญี่ปุ่นจะไม่มีการกระทำใดๆ ที่เป็นเอกเทศแยกตัวออกจากกลุ่มพันธมิตร และความแข็งแกร่งของญี่ปุ่นร่วมกับประเทศพันธมิตรก็คงจะเป็นการปรามคู่อริโดยเฉพาะจีน ให้คิดหน้าคิดหลังให้ดีในการที่จะคุกคาม หรือบังคับขู่เข็ญประเทศรอบๆ บ้าน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี