สังคมไทย หรือราชอาณาจักรของไทยเรานั้น แสนจะโชคดี เนื่องจากตั้งอยู่ในทำเลที่อำนวยกับการเพาะปลูก แถมยังมีทรัพยากรทางธรรมชาติทั้งบนบก ใต้ดิน และในน้ำ อีกทั้งไม่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ภูเขาไฟ คลื่นสึนามิ แผ่นดินไหวที่รุนแรง หรือลมพายุที่หนักหน่วง นอกจากนั้น ฤดูกาลโดยทั่วๆ ไปค่อนข้างมีความสม่ำเสมอมั่นคง ยิ่งพื้นฐานของชาวไทยนั้นมีความอุตสาหะ ขยันหมั่นเพียร ทำบุญและเกรงกลัวบาป มีความสมัครสมานสามัคคี โอภาปราศรัย และยิ้มแย้มต้อนรับขับสู้อาคันตุกะจากต่างแดน รวมทั้งมีสติปัญญาที่จะเรียนรู้และมีทักษะชำนิชำนาญในสาขาอาชีพต่างๆยิ่งตลอดประวัติศาสตร์ สังคมไทยมีผู้ปกครองที่ดีงามอยู่ในศีลในธรรม ดูแลทุกข์สุขของลูกบ้านทั้งหมดนี้ได้ทำให้ผู้คนต่างๆ รอบโลกต่างมีความปรารถนาที่จะได้เห็นสังคมของตนมีความโชคดีเหมือนประเทศไทย
แต่ทว่าในช่วง 91 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่การสิ้นสุดของการเมืองการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเข้าสู่การเป็นสังคมที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) โดยวางเป้าหมายให้ราชอาณาจักรไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยแบบสากล สังคมไทยก็มักจะมีภาพและปรากฏการณ์ของการไร้ซึ่งเสถียรภาพทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมา เราได้ถูกทับถมด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง การทุจริตคอร์รัปชั่น และการใช้อำนาจโดยมิชอบ ควบคู่กับการขัดแย้ง เผชิญหน้า และหักหาญกันด้วยแนวคิด หรืออุดมการณ์ทางการเมือง และด้วยลัทธิอำนาจนิยม
สังคมไทยจึงตกอยู่ท่ามกลางอาการป่วยต่างๆ หรือท่ามกลางความระส่ำระสายของความมิชอบต่างๆ นานา ซึ่งเป็นการจำกัดหรือตีกรอบศักยภาพของสังคมไทย และอีกทั้งเป็นการบ่อนทำลายผลงาน ผลสำเร็จที่มีมาแต่อดีต ผู้คนจำนวนหนึ่งที่ป่วยกำลังเผยแพร่อาการป่วยให้เป็นโรคระบาดใหญ่ในสังคมไทย
ในการนี้สังคมไทยจะแก้ปัญหากันอย่างไร?
ในแง่หนึ่งก็ขึ้นอยู่กับปวงชนชาวไทยที่รักชาติบ้านเมืองจะออกกันมาเรียกร้องและรวมพลังต่อต้านโรคระบาดแห่งความชั่วร้ายทั้งปวงกันแค่ไหน ซึ่งโดยคู่ขนานกันไป ก็ต้องเป็นเรื่องภาระหน้าที่รับผิดชอบของบรรดาผู้นำในสังคมต่างๆที่จะต้องหันมาเห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมือง ต้องมีความซื่อตรงและมีความกล้าหาญที่จะออกมาแสดงตัวและต่อสู้กับอาการป่วยต่างๆ เพื่อคุณงามความดีและความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมืองอีกด้วย
สังคมไทยได้ผ่านการปฏิวัติรัฐประหารโดยฝ่ายกองทัพหลายครั้งหลายครา และก็มีการขีดเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับแล้วฉบับเล่า เพื่อจัดวางสาระเนื้อหาและโครงสร้างของการเมืองการปกครองกันใหม่ แต่ก็มิได้ประสบความสำเร็จ เพราะกลุ่มผู้นำทางสังคมในที่สุดก็มักจะหลงทิศหลงทางไปสาละวนอยู่กับเรื่องของตัวเอง มุ่งทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง หมู่พ้องสมัครพรรคพวกเป็นสำคัญ
ในขณะเดียวกัน สังคมไทยก็ได้แต่ชะเง้อมองความสำเร็จต่างๆ ในหลายๆ ประเทศ จะเป็นที่สิงคโปร์ ที่จีนแผ่นดินใหญ่ ที่จีนเกาะไต้หวันที่เกาหลีใต้ หรือที่อินเดีย เป็นต้น ว่าทำไมเขาฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา ไปได้ แม้ว่าเขาเหล่านี้จะมิได้มีความโชคดีเท่ากับสังคมไทยดังกล่าว
ทั้งนี้เพราะเขาสามารถพูดจาและสามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับทิศทางของประเทศ และเขามีผู้นำที่อุทิศตนให้กับบ้านเมืองเป็นสำคัญ
ในอดีตเราก็มีผู้นำที่โดดเด่น เช่น จอมพล ป.พิบูลสงคราม จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พลเอกเปรมติณสูลานนท์ นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นต้น ปูชนียบุคคลเหล่านี้แสดงความรับผิดชอบ มีความเด็ดเดี่ยว มีความมุ่งมั่นนำพาประเทศชาติ และมิได้เอาผลประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้ง สังคมไทยก็ก้าวหน้าไปได้ อีกทั้งสังคมไทยก็มีองค์พระมหากษัตริย์ 2 พระองค์ในช่วง 91 ปีดังกล่าวนี้ที่มุ่งที่จะปกครองแผ่นดินโดยธรรม
ก็ถึงเวลาแล้วที่เราชาวไทยจะเริ่มต้นถวายงานกันอย่างจริงจัง ด้วยการขจัดอาการป่วยแห่งการทุจริตคอร์รัปชั่น และการคลั่งอำนาจให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย แล้วก้าวไปข้างหน้ากันเสียที
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี