หลังศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวนกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท
ปรากฏว่า มีคนบางกลุ่มพยายามจะบิดเบือนผสมโรงมั่วนิ่ม
อ้างทำนองว่า ยิ่งลักษณ์ไม่มีความผิด ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ไม่ต้องรับโทษจำคุก 5 ปีแล้ว
บางคนมั่วไปไกลถึงขนาดฟอกขาวว่า โครงการจำนำข้าวไม่มีการทุจริต ที่ผ่านเป็นการปั้นเรื่องใส่ร้าย ฯลฯ
แบบนี้ ต้องบอกว่า มั่วแบบหน้าไม่อาย!
1. ที่ศาลปกครองกลางพิพากษาไปนั้น (คดียังไม่ถึงที่สุด) เป็นเรื่องค่าสินไหมทดแทน
ส่วนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาลงโทษจำคุกยิ่งลักษณ์ 5 ปี ไปก่อนหน้านี้ (คดีถึงที่สุดแล้ว) คือ ความรับผิดทางอาญา
ศาลฎีกาฯ จึงได้พิพากษาว่า “..การกระทําของจําเลย(ยิ่งลักษณ์) จึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่ในตําแหน่งโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กระทรวงการคลัง ประเทศชาติ หรือผู้หนึ่งผู้ใด อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1”
2. ศาลปกครองกลางสั่งให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง และคำสั่งอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่อง
ศาลปกครองกลางไม่ได้เพิกถอนคำพิพากษาศาลฎีกาฯ และไม่มีอำนาจจะไปเพิกถอน
ศาลปกครองไม่มีอำนาจชี้ขาดว่าใครโกงหรือไม่โกง อันเป็นความผิดทางอาญา
แต่หลังจากนี้ เมื่อมีการอุทธรณ์คดีไปที่ศาลปกครองสูงสุด ต้องคอยดูว่าศาลปกครองสูงสุดจะพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง หรือแก้คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง
3. กรณีที่ยึดทรัพย์ยิ่งลักษณ์ที่ดำเนินการอยู่ก่อนหน้านี้ ก็ต้องหยุดไว้ เมื่อยื่นอุทธรณ์ไป ก็ต้องรอคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เปิดเผยว่า ทรัพย์สินที่รัฐยึดมาเบื้องต้นยังไม่ถึง 100 ล้านบาท อยู่ระหว่างเตรียมยึดต่อ แต่เมื่อศาลปกครองกลางสั่งมาแบบนี้ต้องหยุด และอุทธรณ์ต่อไป ถือเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งนี้ทรัพย์สินที่ยึดมาได้ไม่กี่สตางค์ เช่น ที่จังหวัดเชียงใหม่ยึดมาเพียงนิดหน่อย ไม่ถึงหลักร้อยล้านบาท คดียังไม่ถึงที่สุดหยุดเอาไว้ก่อน แต่จะให้คืนไปคงไม่ได้ เพราะหากหลังจากนี้ศาลสั่งให้ยึดอีกต้องเอากลับไปกลับมา มันไม่ได้ กรณีนี้แค่หยุดไว้เท่านั้น อย่างบ้านพักที่ซอยโยธินพัฒนายึดไว้ แต่ไม่ได้ทำอะไร เจ้าของยังอาศัยอยู่ เมื่อวันนี้ศาลปกครองมีคำสั่งต้องหยุดไว้ทั้งหมด และดำเนินคดีในชั้นศาลปกครองสูงสุดต่อไป
“อย่าไปพูดแล้วกันว่า พอฝ่ายไหนชนะก็มาบอกว่าศาลตัดสินยุติธรรม แต่พอแพ้ก็บอกว่าไม่ยุติธรรมสองมาตรฐานเอียงสองมาตรฐาน ขอร้องอย่าไปคิดแบบนั้น ปล่อยให้คดีเดินไปจนถึงที่สุด” นายวิษณุกล่าว
4. ทำไมศาลปกครองกลาง จึงให้เพิกถอนคำสั่งเรียกค่าสินไหมฯ?
ศาลปกครองกลาง พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่ง กระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 ที่ให้ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว จำนวน 20% หรือประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท ของความเสียหายทั้งหมด 1.78 แสนล้านบาท และให้เพิกถอนคำสั่งของกรมบังคับคดี กับพวกที่ออกคำสั่ง หรือประกาศใดๆ ที่ดำเนินการเกี่ยวกับการอายัดทรัพย์สินยิ่งลักษณ์
ศาลปกครองกลางให้เหตุผลว่า ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่ายิ่งลักษณ์ เป็นผู้กระทำให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวโดยตรง นอกจากนี้ โครงการจำนำข้าวยังดำเนินการตามนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา เป็นนโยบายสาธารณะขนาดใหญ่ ใช้เงินเยอะ ย่อมมีการขาดทุน
ศาลปกครองกลางบอกว่า ยิ่งลักษณ์มีอำนาจหน้าที่เพียงกำกับดูแลนโยบายโดยทั่วไประดับมหภาคของโครงการรับจำนำข้าว มิได้มีอำนาจหน้าที่ในการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ไม่อาจที่จะรับรู้รับทราบข้อมูล การปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้กระทำผิดในระดับปฏิบัติอีกทั้ง มิได้เป็นผู้ปฏิบัติในฐานะเจ้าหน้าที่ดำเนินการต่างๆในการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และมิได้เป็นคณะอนุกรรมการตามที่ กขช. แต่งตั้งแต่อย่างใด
ศาลปกครองกลางบอกว่า หนังสือ สตง. และ ป.ป.ช. มิใช่เป็นคำสั่งทางปกครองที่ยิ่งลักษณ์ต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า ละเว้น เพิกเฉย ละเลย ไม่ติดตาม
นอกจากนี้ ยังชี้ว่า การกำหนดสัดส่วนให้ยิ่งลักษณ์รับผิด จำนวน 35,717,273,028.23 บาท คิดเป็นร้อยละ 20 ของมูลค่าความเสียหาย 178,586,365,141 บาท มิได้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรมแก่ยิ่งลักษณ์ ฯลฯ
จะเห็นได้ว่า ศาลปกครองกลางมิได้บอกว่าโครงการจำนำข้าวไม่มีการทุจริตโกงกิน
อย่างไรก็ตาม คดียังไม่ถึงที่สุด มีการอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป ซึ่งที่ผ่านมา หลายคดี ศาลปกครองสูงสุดก็มีคำพิพากษาที่แตกต่างสิ้นเชิงกับศาลปกครองกลาง
5. ทำไมศาลฎีกาฯ จึงพิพากษาลงโทษจำคุกยิ่งลักษณ์ 5 ปี?
หลายคนลืมไปแล้ว หรือบางคนอาจจะแกล้งลืม เพราะไม่อยากจำ ไม่อยากรับรู้
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อม.22/2558 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ลงโทษจำคุกยิ่งลักษณ์ 5 ปี คดีถึงที่สุดแล้ว
โดยยิ่งลักษณ์ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ เพียงแต่หลบหนีไปในวันฟังคำพิพากษา ทอดทิ้งให้บุญทรงและพวกมาฟังคำพิพากษาคดีข้าวจีทูเจี๊ยะ แล้วเดินเข้าคุกไป ส่วนตัวยิ่งลักษณ์ลอยนวลอยู่ต่างแดนจนถึงปัจจุบัน
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า รัฐธรรมนูญได้บัญญัติการตรวจสอบการกระทำในฐานะรัฐบาลหรือการกระทำทางรัฐบาลให้รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในหน้าที่ของตน รวมทั้งต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี แต่การบริหารราชการแผ่นดินและบังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่ง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ ย่อมจะต้องถูกตรวจสอบโดยองค์กรตุลาการหรือศาล ได้ตามบทบัญญัติหมวด 10 หากการดำเนินการทางปกครองก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิของบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ซึ่งอาจมีความรับผิดทางปกครองหรือทางแพ่ง หรือทางอาญา แล้วแต่กรณี ก็ใช่ว่าคงมีเพียงความรับผิดชอบต่อสภาฯ หรือรัฐสภา เท่านั้น ดังนั้น แม้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก จะเป็นการดำเนินการตามนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา แต่หากปรากฏว่าในขั้นตอนปฏิบัติตามโครงการมีการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายก็ย่อมถูกตรวจสอบโดยกระบวนการยุติธรรมได้
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า คดีนี้เป็นการกล่าวหาจำเลยซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ไม่ใช่เป็นการตำหนิข้อบกพร่องหรือการดำเนินนโยบายผิดพลาดที่ต้องรับผิดชอบต่อสภาฯ หรือวุฒิสภา จึงอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่จะไต่สวน ข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินคดีอาญา กับจำเลยได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 250 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 19
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้ง 5 ฤดูกาลผลิต แม้ว่าจะพบความเสียหายหลายประการ เช่น การสวมสิทธิ์การรับจำนำ, การนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์, ข้าวสูญหาย, การออกใบประทวนให้ชาวนาอันเป็นเท็จ,การใช้เอกสารปลอม, การโกงความชื้นและน้ำหนัก เพื่อกดราคารับซื้อจากชาวนา, ข้าวสูญหายจากโกดัง, ข้าวเสื่อมสภาพ,ข้าวเน่าและข้าวไม่ตรงตามมาตรฐานกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีรายงานจากการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศรวม 105 คดี แต่เป็นความเสียหายที่เกิดจากฝ่ายปฏิบัติ จำเลยในฐานะประธาน กขช.ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อป้องกันความเสียหายไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มโครงการ อีกทั้งเมื่อพบความเสียหายดังกล่าวในขณะดำเนินโครงการก็ได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันความเสียหายแล้ว กรณีความเสียหายในส่วนนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ
แต่ในกรณีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ในสัญญา 4 ฉบับ พบว่า มีการแก้ไขสัญญาในยุคที่มีนายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการระบายข้าว และยังทำในรูปแบบซื้อขายหน้าคลังสินค้า ซึ่งไม่ใช่การซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ และยังใช้สกุลเงินบาทในการซื้อขาย ซึ่งเป็นพิรุธ ประกอบกับไม่พบว่ามีการส่งข้าวไปยังจีน แต่ในสัญญากลับระบุการซื้อขายข้าวนับล้านตัน ทั้งที่มีการนำข้าวออกไม่เท่ากับที่สัญญาระบุไว้ และเป็นการขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่รับจำนำ ทำให้เอกชนได้รับประโยชน์จากส่วนต่างในราคากว่า 3 พันบาทต่อตัน โดยยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัทเอกชนในกลุ่มของ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง ที่มีความสนิทกับนายทักษิณพี่ชายของจำเลย ก็ได้รับประโยชน์จากพฤติการณ์ที่สมอ้างว่าสัญญาระบายข้าวเป็นแบบรัฐต่อรัฐ
“...สําหรับความเสียหายอันเกิดขึ้นจากการทุจริตในขั้นตอนระบายข้าว โดยการแอบอ้างทําสัญญาขายแบบรัฐต่อรัฐข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า จําเลยรับรู้จากการแจ้งเตือนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง การตั้งกระทู้ถามสด กระทู้ทั่วไป การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ของฝ่ายข้าราชการการเมือง และข่าวสารจากสื่อมวลชน
ยิ่งกว่านี้ ก่อนเริ่มโครงการรับจํานําข้าว ทั้งสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สํานักงาน ป.ป.ช. ได้มีหนังสือแจ้งเตือนและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ การนําเอานโยบายรับจํานําข้าวไปดําเนินการปฏิบัตินั้นจะมีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน และการทุจริตในขั้นตอนต่างๆ ให้จําเลยทราบเป็นระยะๆ แต่จําเลยกลับไม่ได้ติดตามกํากับดูแล อย่างใกล้ชิด
ดังจะเห็นจากจําเลยในฐานะประธาน กขช. ได้เข้าร่วมประชุม กขช. เพียงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้น การประชุม กขช. อีก ๒๒ ครั้ง จําเลยหาได้เข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามกํากับดูแลการดําเนินโครงการให้มีประสิทธิภาพตามที่จําเลยได้ให้ นโยบายไว้แต่อย่างใดไม่
โดยเฉพาะขั้นตอนการระบายข้าวนั้น จําเลยในฐานะประธาน กขช. ได้มีคําสั่ง แต่งตั้งให้ พันตรีวีระวุฒิ หรือหมอโด่ง
ซึ่งขณะนั้นดํารงตําแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และดํารงตําแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในเวลาต่อมา (ซึ่งภายหลังถูกฟ้องเป็นจําเลยที่ ๓ ในคดีอาญาหมายเลขดําที่ อม. ๒๕/๒๕๕๘ และหลบหนีในระหว่างพิจารณาคดี) เป็นอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว อนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติด้านการตลาด อนุกรรมการกํากับดูแลการรับจํานําข้าว และอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการรับจํานําข้าว ซึ่งคําสั่งแต่งตั้งให้ พันตรีวีระวุฒิ หรือหมอโด่ง เป็นอนุกรรมการชุดต่างๆ ล้วนให้มีอํานาจหน้าที่ เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวทั้งสิ้น
ทั้งหลังจาก วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ที่ นายวรงค์ อภิปรายเรื่องการทุจริตการระบายข้าวแล้ว นายสุพจน์ เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงในสํานวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าข้าวตามสัญญา ๔ ฉบับนั้น ในขณะนั้นยังคงมีการส่งมอบข้าวตามสัญญาขายข้าว ๔ สัญญาแรกต่อไปอีกถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
และมีการชําระเงินเพื่อรับมอบข้าวในสัญญาที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ รับมอบข้าว ๑,๘๒๐,๘๑๕.๖๖ ตัน
ชําระเงินเพื่อรับมอบข้าวในสัญญาที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ รับมอบข้าว ๑,๔๐๒,๕๓๗.๘๖ ตัน
ชําระเงินเพื่อรับมอบข้าวในสัญญาที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๖ รับมอบข้าว ๑,๖๕๔,๔๕๓.๑๓ ตัน
หากนับ ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ นายวรงค์ อภิปรายเป็นต้นมา ยังมีระยะเวลาเพียงพอแก่การตรวจสอบให้ได้ ข้อเท็จจริงตามข้ออภิปรายของนายวรงค์ และหากจําเลยดําเนินการตรวจสอบการทุจริตการระบายข้าว ตามสัญญาซื้อขาย ๔ ฉบับแรกอย่างจริงจัง ดังเช่นจําเลยได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณา ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องโครงการข้าวถุงราคาถูก เพื่อวางมาตรการป้องกันมิให้เกิดการทุจริตขึ้นอีก...
...ดังนั้น ในส่วนการระบายข้าว ที่แอบอ้างว่าเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐก็เช่นเดียวกัน จําเลยมีเวลาเพียงพอที่จะระงับยับยั้งการส่งมอบข้าวตามสัญญาที่ยังไม่ได้ส่งมอบไว้ก่อนก็ย่อมกระทําได้ตามอํานาจหน้าที่ แต่จําเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาลและประธาน กขช. ซึ่งมีอํานาจหน้าที่โดยตรงในการควบคุมตรวจสอบกํากับดูแล การปฏิบัติตามนโยบาย วางมาตรการโครงการที่อนุมัติไปแล้ว ทั้งมีอํานาจสั่งการข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ในการกํากับดูแล การระงับยับยั้งหรือแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว
แต่จําเลยกลับมีพฤติการณ์ในการละเว้นหน้าที่ตามกฎหมาย ส่อแสดงเจตนาออกโดย แจ้งชัดอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ นายบุญทรง กับพวกแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการรับจํานําข้าว โดยการแอบอ้างนําบริษัท GSSG และบริษัท Hainan grain เข้ามาทําสัญญาซื้อข้าวในราคาที่ต่ํากว่า ท้องตลาดตามประกาศของกรมการค้าภายใน แล้วมีการหาประโยชน์ที่ทับซ้อนโดยทุจริตได้ข้าวส่วนต่าง จากราคาข้าวตามสัญญาซื้อขาย ๔ ฉบับ อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศและเกิดผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน
โดยตรง ถือได้ว่าเป็นการกระทําทุจริตต่อหน้าที่ในความหมายตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔ ซึ่งบัญญัติให้ ความหมายคําว่า “ทุจริตต่อหน้าที่” คือ การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตําแหน่งหรือหน้าที่ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทําให้ผู้อื่นเชื่อว่า มีตําแหน่งหรือหน้าที่ทั้งที่ ตนมิได้มีตําแหน่งหรือหน้าที่นั้น หรือใช้อํานาจในตําแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ที่มิควรได้โดยชอบสําหรับตนเองหรือผู้อื่น
ดังนั้น การกระทําของจําเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่ในตําแหน่งโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กระทรวงการคลัง ประเทศชาติ หรือผู้หนึ่งผู้ใด อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๓/๑…”
6. คดีที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุกยิ่งลักษณ์ 5 ปีนั้น คดีถึงที่สุดแล้ว และเชื่อว่า จะมีการนำประเด็นสำคัญหลายประเด็นที่ไม่ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาศาลปกครองกลาง นำเข้าไปสู่การพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด เพื่อความถูกต้องและเป็นธรรมให้ถึงที่สุดต่อไป
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี