สหรัฐอเมริกาได้ออกมาตรการล่าสุดที่จะให้เอกชนในเครือข่ายหรือที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ต้องทำหน้าที่แซงก์ชั่นประเทศอื่นและองค์กรของประเทศอื่นเพื่อเป็นการลงโทษในสิ่งที่สหรัฐเห็นว่าประเทศเหล่านั้นได้กระทำการที่ไม่ถูกต้องในสายตาของสหรัฐ
แต่ทว่าสิ่งที่สหรัฐเห็นว่าไม่ถูกต้องนั้นมิใช่ความถูกต้องที่แท้จริงเสมอไป และอาจไม่ใช่ผลประโยชน์ของประเทศต่างๆ กระทั่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นปรปักษ์ระหว่างประเทศ หรือระหว่างประเทศกับเอกชน
แต่เดิมมานั้นการแซงก์ชั่นเป็นมาตรการของสหประชาชาติในการลงโทษหรือปฏิบัติต่อสมาชิกของสหประชาชาติที่ฝ่าฝืนไม่ทำตามมติของสหประชาชาติ โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของประเทศต่างๆ ที่เป็นภาคีสมาชิก
บทบาทดังกล่าวเป็นบทบาทของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่มีอำนาจมาก กระทั่งสามารถส่งกำลังทหารของสหประชาชาติไปปฏิบัติการยังประเทศที่ถูกลงโทษได้
แต่เนื่องจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาตินั้น ประกอบด้วยสมาชิกถาวร 5 ชาติ คือ สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน ซึ่งทุกมติของคณะมนตรีความมั่นคงจะต้องไม่มีเสียงคัดค้านแม้เพียง 1 เสียง ดังนั้นถ้ามีชาติใดในจำนวน 5 ชาตินี้ไม่เห็นด้วยและออกเสียงคัดค้านซึ่งจะเรียกว่าเป็นเสียงวีโต้ ก็จะทำให้คณะมนตรีความมั่นคงออกมติไม่ได้
และประเทศที่เสนอเรื่องให้คณะมนตรีความมั่นคงมีมติลงโทษประเทศอื่นๆ นั้นก็ปรากฏว่าสหรัฐและอังกฤษจะเป็นประเทศที่มีข้อเสนอญัตติมากที่สุด และนานวันเข้าข้อมติที่เสนอนั้นก็มิได้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาคมโลก แต่เป็นไปเพื่ออำนาจและอิทธิพลของตนเอง ซึ่งขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชาติอื่นๆ เป็นเหตุให้ถูกวีโต้ โดยเฉพาะจากรัสเซียและจีน
เมื่อสหรัฐไม่สามารถอาศัยมติของคณะมนตรีความมั่นคงได้ตามใจจึงทำให้สหรัฐต้องใช้มาตรการคว่ำบาตรโดยตนเอง และเมื่อใช้อำนาจความเป็นมหาอำนาจคว่ำบาตรโดยลำพังแล้วสหรัฐก็จะใช้อิทธิพลต่อกลุ่มประเทศที่เป็นพันธมิตรโดยเฉพาะกลุ่มประเทศนาโตและอียู หรือประเทศอื่นที่สหรัฐสามารถกำหนดได้ให้ต้องทำการแซงก์ชั่นตามที่สหรัฐต้องการ
ดังนั้นการแซงก์ชั่นดังกล่าวจึงเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างสหรัฐกับประเทศที่ถูกแซงก์ชั่นและไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของประชาคมโลก และยิ่งแซงก์ชั่นมากขึ้นเท่าใดบรรดาประเทศที่ร่วมกับสหรัฐแซงก์ชั่นก็ได้รับความเสียหายตามไปด้วย โดยมิได้มีประโยชน์หรือกงการอะไรของตัวเองเลย เป็นเหตุให้ประเทศในยุโรปหลายประเทศและอีกหลายประเทศในโลกไม่ยอมร่วมคว่ำบาตรกับสหรัฐ
เพราะบางครั้งประเทศที่เป็นพันธมิตรเหล่านั้นไม่ว่าในยุโรป ในนาโต ในสหภาพยุโรปและในภูมิภาคอื่นๆ ก็ถูกสหรัฐแซงก์ชั่นบ่อยครั้งขึ้น จึงทำให้เกิดกระแสต่อต้านขึ้น
บรรดาประเทศที่ถูกสหรัฐคว่ำบาตรเป็นประจำอย่างยาวนาน โดยเฉพาะเกาหลีเหนือ พม่า อิหร่าน จึงได้รวมตัวกัน อย่าง
เหนียวแน่นเพื่อรับมือกับการคว่ำบาตรของสหรัฐ ในที่สุดก็มีรัสเซีย จีน เวเนซุเอลา ซีเรีย และอีกหลายประเทศเข้าร่วม จนก่อเกิดเป็นองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ขึ้นเป็นอีกขั้วอำนาจหนึ่ง
สหรัฐคว่ำบาตรกับประเทศต่างๆ แล้วยังไม่พอ เพราะแต่ละประเทศก็มีทางออกของตนเอง มีมิตรประเทศที่ร่วมมือสนับสนุนอยู่ จึงทำให้การคว่ำบาตรยิ่งนานวันยิ่งด้อยค่าไร้ผลดังนั้น สหรัฐจึงต้องขยายมาตรการคว่ำบาตรไปเรียกร้องให้เอกชนที่มีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐ โดยเฉพาะเอกชนที่ต้องพึ่งพาค้าขายกับสหรัฐให้ทำการคว่ำบาตรตามที่สหรัฐต้องการ
จึงเกิดกรณีภาคเอกชนที่ถูกกำหนดเหล่านั้นต้องทำการคว่ำบาตรประเทศอื่นตามที่สหรัฐต้องการ ดังเช่นล่าสุดการที่บริษัทเอกชนทั้งในยุโรปและญี่ปุ่นได้ร่วมกันคว่ำบาตรไม่ซื้อฝ้ายจากซินเกียง ตามที่สหรัฐกล่าวหาว่าจีนได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวมุสลิมซินเกียง ให้ชาวมุสลิมอุยกูร์ไปทำการเก็บฝ้าย
ซึ่งข้อหานั้นเป็นความเท็จทั้งสิ้น ความจริงคือการทำไร่ฝ้ายในซินเกียงนั้นมีสองประเภท คือประเภทที่เป็นนิคมอุตสาหกรรมการเกษตรขนาดใหญ่ทันสมัย ใช้เครื่องจักรและหุ่นยนต์ทันสมัยในการเก็บฝ้ายโดยไม่ใช้แรงคน และอีกประเภทหนึ่งเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนที่ใครทำใครได้ จึงเป็นเรื่องของแต่ละครอบครัว ดังนั้นในเรื่องฝ้ายซินเกียงจึงไม่เคยมีการบังคับ และกองทัพจีนก็ไม่เคยบังคับประชาชนเช่นนั้น
จีนได้นำความจริงเรื่องนี้ออกเผยแพร่อย่างกว้างขวางทั่วโลก จึงทำให้ประชาชนจีนทั่วประเทศเห็นว่าสหรัฐข่มเหงรังแกประเทศจีน จึงเกิดการลุกฮือขึ้นทั่วประเทศแล้วเคลื่อนไหวทำสงครามประชาชนทางการค้า โดยร่วมกันคว่ำบาตรบริษัทต่างประเทศที่แซงก์ชั่นฝ้ายจากซินเกียง
และสงครามประชาชนในทางการค้าที่ได้ก่อตัวขึ้นก็ได้ก่อตัวลุกลามไปอย่างกว้างขวาง ชาวจีนในไต้หวันและในทุกประเทศทั่วโลกก็ได้เข้าร่วมสงครามประชาชนทางการค้าทำการคว่ำบาตรไม่ซื้อสินค้าจากบริษัทต่างชาติที่คว่ำบาตรฝ้ายซินเกียง
เมื่อคนหลายพันล้านคนคว่ำบาตรไม่ซื้อสินค้าจากบริษัทเอกชนที่ยอมเป็นเครื่องมือของสหรัฐในการคว่ำบาตรฝ้ายซินเกียงจึงได้รับความเสียหาย บางบริษัทกำลังขอขมาลาโทษบางบริษัทก็ได้ถอนการคว่ำบาตร บางบริษัทก็ลบข้อความที่ประกาศคว่ำบาตรนั้นเสีย
แต่ความเสียหายที่บริษัทเหล่านั้นได้รับใหญ่หลวงยิ่งนัก ลองนึกดูว่าประชากรโลกร่วม 2,000 ล้านคน ที่ไม่ยอมซื้อสินค้าของบริษัทเหล่านั้นอะไรจะเกิดขึ้น นี่จึงเป็นบทเรียนอันล้ำค่าของประชาชนทั่วโลก โดยเฉพาะภาคธุรกิจของประเทศไทยที่จะต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ถ่องแท้ อย่าได้สมยอมรับคำสั่งของใครไปคว่ำบาตรโดยเด็ดขาด
ก็ขนาดบริษัทการค้ายักษ์ใหญ่ของโลกที่หลงไปคว่ำบาตรฝ้ายซินเกียง ผลที่สุดก็ยืนไม่อยู่ต้านไม่ได้ และถ้าหากยังเดินหน้ากันต่อไป ดีไม่ดีประชากรในกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ถึง 5,000 ล้านคน ก็อาจจะเข้าร่วมสงครามประชาชนทางการค้าคว่ำบาตรกลับสั่งสอนก็ได้
สถานการณ์ในซินเกียงนั้นถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกระดมพี่น้องมุสลิมทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยเพื่อให้เกลียดชังประเทศจีนและต่อต้านประเทศจีน ซึ่งกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและสันติสุขในประเทศไทย ที่สำคัญคือเป็นหน้าที่ของผู้มีอำนาจที่จะทำความถูกต้องให้เกิดขึ้นว่าเรื่องใดเป็นจริง เรื่องใดเป็นเท็จ
ความเป็นจริงของซินเกียงคือซินเกียงมีพื้นที่ใหญ่มากถึง 1 ใน 3 ของพื้นที่ประเทศจีน แต่มีประชากรอยู่เพียง 12 ล้านคน ซึ่งเป็นชาวมุสลิมอุยกูร์เป็นส่วนใหญ่ แต่ซินเกียงนั้นเป็นพื้นที่มั่งคั่งด้วยทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำมันและแก๊ส เป็นทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าของดินแดนนี้และเป็นเหตุให้ตกเป็นเป้าหมายที่นักล่าอาณานิคมต้องการแบ่งแยกซินเกียงออกไปเพื่อปล้นสะดมทรัพยากรเหล่านี้เหมือนที่กระทำต่อหลายประเทศในตะวันออกกลาง จึงมีการปั้นข้อมูลเท็จเพื่อปลุกระดมในเรื่องนี้อย่างกว้างขวางต่อเนื่อง
แต่เป็นธรรมชาติของความเท็จที่ประดุจดังความมืด ไม่สามารถลบล้างแสงสว่างและกระแสแห่งสัจจะได้ ความเป็นจริงของซินเกียงสรุปได้ว่าโดยการนำและริเริ่มของประธานสี จิ้น ผิง ได้พลิกฟื้นซินเกียงเดิมในอดีตที่ยากจนขาดแคลนและล้าหลัง ให้พ้นจากความยากจนขาดแคลนและล้าหลังอย่างสิ้นเชิง กระทั่งยืนอยู่แถวหน้าสุดในชนบทจีน
เพียง 6 ปี หลังจากประธานสี จิ้น ผิง เข้าสู่อำนาจ ซินเกียงได้พลิกฟื้นจากเดิมโดยไม่มีทางโต้แย้งได้ อัตราการเพิ่มประชากรสูงที่สุดในประเทศจีนและสูงที่สุดในโลก อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของซินเกียงสูงที่สุดในโลกและสูงกว่าทุกพื้นที่ในประเทศจีน คือในขณะที่โดยทั่วไปมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจเพียง 6.5% หรือ 4.7% ในยามเผชิญโคขวิด แต่ซินเกียงกลับเติบโตถึง 7.2%
ในชั่วเวลาไม่กี่ปีประชากรชาวซินเกียงสามารถมีที่อยู่อาศัยใหม่สำหรับประชากรถึง 10 ล้านคน จากจำนวน 12 ล้านคน
ส่วนที่เหลืออีก 2 ล้านคน ยังคงอาศัยในที่อยู่อาศัยเดิมซึ่งยังคงใหม่และทันสมัย
การพัฒนาซินเกียงในขณะนี้มีความเจริญรุ่งเรืองกว่ารัฐส่วนใหญ่ในอเมริกาและอีกหลายประเทศทั่วโลก ทำให้พี่น้องมุสลิมในซินเกียงมีความอยู่ดีกินดีมีความสุขและมีรายได้ที่ไม่แพ้พี่น้องมุสลิมชาติอื่นในโลกนี้
บทเรียนของการคว่ำบาตรซินเกียงที่ก่อเกิดเป็นสงครามประชาชนทางการค้าจึงเป็นบทเรียนที่ภาคเอกชนไทยจะต้องทำความเข้าใจและอย่าได้ตกเป็นเครื่องมือใครเป็นอันขาด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี