บทความวันนี้ต่อเนื่องจากบทความเมื่อวานนี้ซึ่งเป็นบทความเนื่องในโอกาสวันสงกรานต์ หากท่านใดยังไม่อ่านก็ควรย้อนกลับไปอ่านดู อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าเมื่อขึ้นปีใหม่ไทยครั้งใหม่แล้วเค้าโครงเรื่องราวใดจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองของเรา โดยเฉพาะดินฟ้าอากาศ น้ำท่าและความทุกข์สุขทั้งหลาย
สำหรับวันนี้ก็เป็นเรื่องต่อเนื่องกับสงกรานต์ แต่เป็นเรื่องประเภทที่ว่าไปตามเรื่อง นึกอะไรได้ก็เขียนไปตามนั้นว่าไปตามนั้น ไม่ได้ใช้กฎเกณฑ์อะไร เพราะวันนี้ต้องถือว่าเป็นวันว่าง ซึ่งในชนบทไทยก็จะเรียกวันนี้ว่าเป็นวันว่าง
ที่ว่าเป็นวันว่างนั้นก็คือเป็นวันหยุดทำงาน เป็นวันที่ธรรมเนียมไทยแต่โบราณมาจะไม่ทำการงานใดๆ ในวันนี้ และต้องจิตใจให้ว่างจากความทุกข์โศกหรือ
อาสวะใดๆ ที่ครอบงำจิตใจต่อเนื่องมาจากปีก่อน เพราะเมื่อทำจิตใจให้มีความว่างในวันว่างเช่นนี้แล้วจิตใจนั้นก็จะผ่องใสดุจบึงน้ำที่ใส ก็จะเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่ในบึงน้ำนั้นได้ตามที่เป็นจริง แม้เห็นเพียงเท่านี้ก็นับว่าบังเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับวันว่างแล้ว
อันคนเรานั้นผ่านวันเวลามาปีหนึ่งก็แก่ไปปีหนึ่ง ต่อให้เป็นเด็กเยาวชนหรือคนรุ่นใหม่ไหนๆ ก็ตาม อย่าคิดว่าความเป็นเด็กหรือเยาวชนคนรุ่นใหม่จะดำรงสถาพรหรือ static อยู่เป็น นิรันดร์ หากผันแปร หรือ dynamic อยู่ทุกขณะ และอาจกล่าวได้ว่าทันทีที่ “คลอดและอยู่รอดเป็นทารก” อันเป็นภาษากฎหมายแล้ว ความแก่ก็เริ่มบังเกิดขึ้นนับแต่วินาทีนั้นเป็นต้นไปจนกระทั่งตายไป
ความแก่เป็นของควบคู่กับความเกิด และเมื่อแก่ถึงระดับหนึ่ง ความเจ็บหรือความเสื่อมสลายก็จะเข้าครอบงำทั้งที่เห็นได้ชัด ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว และจะเพิ่มขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งร่างกายนี้ไม่สามารถทนทานหรือรับกับความเสื่อมสลายนั้นได้ เมื่อนั้นก็จะถึงแก่ความตาย
ทุกชีวิตเป็นเช่นนี้ ดังนั้นอย่าได้ทะนงอวดตัวว่าเป็นเด็กเยาวชนแล้วจะเป็นเจ้าของแห่งยุคสมัย และหลงผิดคิดว่าคนที่มีอายุมากกว่าจะต้องตายก่อน จากนั้นพวกตนก็จะได้เข้าสืบทอดอำนาจทั้งหลายทั้งปวง นับว่าเป็นความผิดมหันต์
เพราะคนเรานั้นเมื่อแก่ตัวเพิ่มขึ้นโดยลำดับ ไม่เพียงแต่ร่างกายจะแก่ไปตามลำดับเช่นเดียวกันด้วย แต่ระบบความคิด วิธีคิด และผลแห่งความคิดก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับด้วยเช่นเดียวกัน คนที่มีอายุมากในวันนี้ก็เคยผ่านวันเวลาที่เป็นเด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่มาก่อนทั้งสิ้น เคยใฝ่ฝันอันบรรเจิดมากมาย แต่เมื่อล่วงวัยมาถึงเวลาหนึ่งความคิดความเห็นก็จะเปลี่ยนไปจากยุคสมัยก่อน ดังนั้นคนรุ่นเก่าก็อย่าได้ดูถูกเกลียดชังคนรุ่นใหม่ เพราะสิ่งที่คนรุ่นใหม่เขาคิดเขาพูดเขาทำก็เคยเป็นสิ่งที่คนรุ่นเก่าเคยคิดเคยพูดเคยทำมาก่อนแล้วทั้งนั้น
เพียงเข้าใจความจริงแค่นี้ความขัดแย้งในบ้านเมืองของเราก็จะหายไปเป็นอันมาก สันติภาพและสันติสุขจะบังเกิดขึ้นแก่ชาติบ้านเมืองของเรา
สำหรับเด็กและเยาวชนนั้นเขายังไม่แก่ ยังไม่เคยแก่ต่างกับคนรุ่นเก่าที่ผ่านความเป็นเด็กเยาวชนมาแล้ว ดำเนินอยู่ในวิถีแห่งความแก่ที่มุ่งหน้าสู่ความตาย ดังนั้นเด็กและเยาวชนก็ต้องเข้าใจความจริงนี้เช่นเดียวกันว่าสิ่งที่คิดที่พูดที่ทำนั้นอาจจะต่างกับคนรุ่นเก่า สาเหตุหนึ่งก็คือคนรุ่นเก่าได้ผ่านความเป็นคนรุ่นใหม่มาแล้วและผ่านความจริงของวันเวลาที่พัฒนาไป
เมื่อคนสองวัยสามวัยมีความเข้าใจในความเป็นจริงเช่นนี้แล้วก็จะคลายความขัดแย้ง คลายความชิงชังรังเกียจที่ถูกปลุกระดมปั่นกระแสให้คนไทยแตกแยกแตกสามัคคีกันมาตลอดปีที่ผ่านๆ มาได้ไม่มากก็น้อย
อย่าได้ดูถูกความแก่ แม้เยาวชนคนรุ่นใหม่ก็อย่าได้ดูถูกความแก่หรือดูถูกคนแก่ เพราะคนแก่นั้นเป็นคนที่โชคดีและได้เปรียบเยาวชนคนรุ่นใหม่ เพราะมีบทเรียนประสบการณ์ของความเป็นคนรุ่นใหม่มาแล้ว ในขณะที่คนรุ่นใหม่มีความเสี่ยงสูงมากที่จะตายเสียก่อนแก่ ไม่เห็นหรือว่าอายุแค่ 30 กว่าก็ช็อกน็อกเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นการที่ใครก็ตามเข้าถึงซึ่งความแก่ได้ก็ต้องนับว่าเป็นผู้ที่โชคดีในชีวิตและควรเป็นสิ่งที่เยาวชนคนรุ่นใหม่พึงน้อมใจทำการศึกษาว่าทำอย่างไรจึงจะไปถึงความแก่ได้โดยไม่ตายโหงตายห่าเสียก่อนที่จะแก่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็นับว่าเป็นผู้ประสบความล้มเหลวในชีวิตที่สร้างความผิดหวังให้กับครอบครัวญาติพี่น้องที่ตั้งความหวังให้เติบโตเจริญวัยมีความก้าวหน้าเป็นหลักเป็นฐานสำหรับครอบครัว
ดังนั้นสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่จึงพึงตั้งใจในวันสงกรานต์ว่าจะประพฤติตนเป็นคนเป็นมนุษย์ ศึกษาความจริงเคารพความจริงของชีวิต ซึ่งภูมิปัญญาส่วนใหญ่ก็อยู่ในศาสนาทั้งหลาย ขอเพียงตั้งหน้าใส่ใจศึกษาก็จะเข้าถึงความจริงของชีวิตได้ จากนั้นก็จะได้ตั้งใจมุ่งมั่นเพื่อไปสู่ความแก่ได้โดยสวัสดีไม่ตายโหงตายห่าเสียก่อนวัยอันควร
เพียงคิดและทำเช่นนี้จิตใจที่จะให้ความเคารพแก่คนแก่หรือน้อมใจรับฟังความคิดความเห็นของคนแก่คนเก่า ในขณะที่คนแก่คนเก่าก็ย่อมตั้งใจให้มีความเมตตาไว้ในใจที่จะอุทิศประสบการณ์และความรู้ของตนให้เป็นประโยชน์แก่ชนหมู่มากในโลก โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่
สำหรับใครที่ไม่รังเกียจความแก่ ต้อนรับความแก่ และอยู่ในวิถีของความแก่ ก็ควรจะทำความรู้ทำความเข้าใจในโอกาสวันว่างแห่งสงกรานต์นี้ในประการที่สำคัญดังต่อไปนี้
ประการแรก พึงตั้งความรู้ความเข้าใจว่าความแก่เป็นธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และไม่อาจฝ่าฝืนได้โดยวิธีใด นอกจากจะชิงตายไปก่อน ดังนั้นความคิดรังเกียจความแก่ หรือต่อต้านความแก่ หรือป้องกันความแก่ล้วนเป็นความคิดที่ผิดทั้งสิ้น นอกจากเสียเงินเสียทองถูกดูหมิ่นเหยียดหยามว่าแก่แล้วไม่รู้ประสาแล้ว ผลที่สุดก็หยุดยั้งความแก่ไว้ไม่ได้นั่นเอง แล้วจะไปเสียเวลา เสียเงินเสียทองกับมันทำไม อย่าให้เป็นเช่นบางคนที่ไปต่อต้านความแก่แล้วตายอย่างฉับพลันในคลินิกที่ไปต่อต้านความแก่นั้น
ประการที่สอง พึงตั้งความยินดีในความแก่ว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยผ่านมาก่อนเลย เป็นประสบการณ์ใหม่ของชีวิตในวิถีดำเนินไปสู่ความตาย พึงตั้งความเพียรศึกษาและเตรียมตัวเดินทางไปในท่ามกลางความแก่ก็จะไม่เหงา ไม่วิตกหวาดกลัว และไม่กังวล กระทั่งไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อถึงวันเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไป และจะไม่ทำให้ใครต้องโศกเศร้าเสียใจเพราะความคร่ำครวญของตนที่ไม่ยอมรับความแก่และความตาย
ประการที่สาม พึงทำความเข้าใจในความเป็นจริงว่าเมื่อความแก่มาถึงในระดับหนึ่งแล้ว จะหมดโอกาสหรือไม่สามารถทำงานหรือทำการใดๆ ที่เคยทำ เคยชอบใจ เคยพอใจมาแต่ก่อนได้ จะต้องละวางมันไป เพื่อให้คนอื่นเข้ามารับช่วง จะต้องรีบสลัดตัดใจวางให้ขาดโดยเร็วเพื่อให้ผู้รับช่วงต่อได้สามารถรับภารกิจสืบไป ในขณะที่ยังพอมีเวลานั่งดูนั่งให้กำลังใจหรืออาจให้คำแนะนำหากว่าเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น การยึด การหวง การงานเดิมไว้เป็นสิ่งที่ผิด การคิดปล่อย คิดวางให้แก่ผู้สืบทอดใหม่ควรทำใจให้เห็นเป็นความสุขและความสำเร็จของชีวิตว่านี่คือภารกิจที่ต้องทำให้ดี
ประการที่สี่ พึงทำความเข้าใจในความจริงว่าเมื่อความแก่มาถึงโดยลำดับแล้ว คนที่รักเรา คนที่เป็นเพื่อนกินเพื่อนอยู่เพื่อนเที่ยวหรือเพื่อนใกล้ชิดสนิทสนมก็ค่อยๆ ลดน้อยและห่างเหินกันไป บ้างก็ล้มหายตายจาก บ้างก็ไม่สามารถมาพบปะไปกินไปเที่ยวด้วยกันได้อีก จึงต้องบ่มใจให้มีความยินดีในสันโดษ ให้เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่โดยลำพังตนแม้กระทั่งการนอนตายอยู่แต่คนเดียวก็ให้เป็นการตายด้วยความมีสติ หรือถ้าดำรงอยู่ในสมาธิขั้นอุปจารสมาธิได้ก็จะเป็นการดีที่สุด อย่าได้ริอ่านหวนโหยหาอดีต ซึ่งจะมีแต่ความติดยึดอันเป็นอุปาทานขันธ์และเป็นเหตุแห่งทุกข์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนให้ละวางเสีย
ประการที่ห้า เมื่ออยู่ในวิถีดำเนินของความแก่ไปโดยลำดับ และมีความตายเป็นที่สุดเหมือนกันทุกคน ดังนั้นอย่าแบกของหนัก อย่าติดของหนัก อย่ายึดของหนักหรือสิ่งของใดๆ จะต้องปล่อยวางออกไป หาผู้รับช่วง หาผู้รับมอบไปตามที่ใจปรารถนา กายใจนี้ก็จะเบา ไม่มีข้อวิตกกังวลใดๆให้ค้างคาในใจอันจะเป็นเครื่องถ่วงรั้งในการเดินทางไกลเมื่อวันนั้นมาถึง
ขอเราทั้งหลายพึงศึกษาทำความเข้าใจและรับเอาประโยชน์จากวันว่างเนื่องในเทศกาลสงกรานต์นี้โดยทั่วกันเทอญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี