วันนี้ ขอบอกเล่าบทเรียน จากกรณีทำหน้าที่สื่อมวลชนแล้วถูกฟ้องร้อง ดำเนินคดีทั้งอาญา ทั้งแพ่ง เรียกค่าเสียหายหลายล้านบาท
1. ผมจัดรายการวิทยุ แฉประเด็นการตรวจสอบโครงการปลูกปาล์มน้ำมันที่ประเทศอินโดนีเซียของ บริษัท พีทีที.กรีน เอ็นเนอร์ยี่ฯ หรือ PTT.GE ในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
โครงการนี้ทำการศึกษาช่วงปี 2549 ดำเนินการตั้งบริษัทมาดำเนินการตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา 5 โครงการ ได้แก่ PT.MAR Pontianak PT.Az Zhara PT.MAR Banyuasin PT.FBP และ PT.KPI มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท
หลังจากนั้น ปตท.ใหญ่เข้าไปตรวจสอบ พบการกระทำความผิด ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ทั้งเรื่องการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า รวมถึงการซื้อที่ดินที่อาจสูงเกินจริง หลังจากนั้น ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.สอบสวน จนถึงปัจจุบัน
ส่วนปตท.ใหญ่ ดำเนินการลงโทษผู้เกี่ยวข้อง ไล่ออกเจ้าหน้าที่ผู้บริหารบางคนไปแล้ว
2. มีบุคคลเสียผลประโยชน์ยื่นฟ้องร้องผม ฐานหมิ่นประมาท ทั้งอาญา และแพ่ง เรียกค่าเสียหายหลายล้านบาท และยังขอให้ศาลแพ่งสั่งให้ผมยุติการพูดเรื่องนี้จนกว่าจะมีคำพิพากษา
ผมเคารพศาล และหยุดพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่บัดนั้น
3. ผมเดินหน้าขึ้นโรงขึ้นศาล ต่อสู้คดีตามปกติ ตามแบบจำเลยทั่วไป
ต้องไปยื่นขอประกันตัวต่อศาล ต้องไปให้การตามนัด ทำทุกอย่างตามขั้นตอนทั่วไป
4. คดีอาญา
ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ผมไม่ได้กระทำผิด ทำหน้าที่สื่อมวลชนบอกเล่าที่มาที่ไปโครงการ ตั้งคำถามถึงผู้เกี่ยวข้อง พยานหลักฐานนำสืบไม่ได้ว่ามีส่วนใดพาดพิงทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ไม่ได้ใส่ร้ายป้ายสี นำเสนอข่าวสารความจริง การตั้งข้อสังเกตก็เป็นไปโดยสุจริต บนพื้นฐานประโยชน์ส่วนรวม
คำพิพากษาศาลอาญา บางตอนระบุว่า การดำเนินรายการ จำเลย (สันติสุข) นำเสนอข้อเท็จจริง มีใจความเกี่ยวกับกรณี PTT.GE ลงทุนปลูกปาล์มน้ำมันโดยการซื้อที่ดิน ซื้อหุ้นในโครงการที่ลงทุนปลูกปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย 5 โครงการ บางโครงการผู้ขายที่ดินทำข้อตกลงกับเอกชนที่ขายว่า ถ้าสามารถขายที่ดินให้กับ PTT.GE ในราคาตามที่ตกลง จะยอมจ่ายค่าคอมมิชชั่น หรือเงิน Consultancy Services ให้กับบริษัทดังกล่าวร้อยละ 35 นอกจากนั้นจำเลยยังกล่าวว่า การซื้อที่ดินเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันยังมีการซื้อที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิทับที่ป่า ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้ ปตท.ได้รับความเสียหาย ต่อมามีการตั้งกรรมการตรวจสอบภายในบริษัท และมีมติว่าโจทก์ทำนอกขอบอำนาจ จึงมีมติให้ลงโทษเลิกจ้างโจทก์ ต่อมามีการฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 2 หมื่นล้านบาทเศษ และ ปตท. ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการนั้น เห็นว่า ข้อความดังกล่าวเป็นการกล่าวถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินโครงการของบริษัท PTT.GE
ว่ามีการตกลงทำสัญญาจ่ายค่าคอมมิชชั่นระหว่างเจ้าของที่ดินกับเอกชน และจำเลย (สันติสุข) ได้อธิบายให้ผู้ฟังรายการเข้าใจว่าค่าคอมมิชชั่นคืออะไร และกล่าวถึงที่มาของการทำข้อตกลงนั้น โดยมีการพูดถึงบุคคลที่มาเป็นพยานในสัญญาดังกล่าว รวมทั้งกล่าวถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ ปตท. ว่าเสียหายจำนวนประมาณใด
คำพูดของจำเลย (สันติสุข) ไม่ได้ยืนยันว่าโจทก์รู้จักกับบริษัทนายหน้าหรือผู้ขายที่ดิน จำเลยเพียงแต่ตั้งคำถามว่า บริษัทนายหน้ารู้ได้อย่างไรว่าจะขายที่ดินได้ในราคาเท่าไร และข้อความว่า “ใครจะเชื่อก็เชื่อ” เป็นเพียงการกล่าวทิ้งท้ายหลังจากเสนอข่าวในทำนองเปิดโอกาสให้ผู้ฟังใช้วิจารณญาณของตนเองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ คำพูดดังกล่าวไม่สามารถตีความได้ว่า หากใครเชื่อว่า PTT.GE ไม่รู้ไม่เห็นจะเป็นคนคิดผิดดังที่โจทก์เบิกความ ดังนั้นข้อความดังกล่าวจึงไม่ได้มีส่วนใดพาดพิงถึงโจทก์คำพูดของจำเลยจึงไม่เป็นการใส่ความโจทก์
ต่อมา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
หลังจากนั้น โจทก์ยังพยายามฎีกา
แต่สุดท้าย ไม่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมาย คดีจึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
เป็นอันว่า สันติสุขรอดคุกรอดตะรางไป
5. คดีแพ่ง
ล่าสุด ศาลแพ่งพิพากษายกฟ้องเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เอง
ศาลแพ่งพิพากษาว่า “...พฤติการณ์ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า เนื้อหาที่จำเลยที่ 4 (สันติสุข) จัดรายการนั้น ไม่ใช่ข้อความ
อันฝ่าฝืนต่อความจริง จึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์...”
เป็นอันว่า สันติสุขไม่ต้องเดือดร้อนไปหาเงินล้านมาจ่าย
คงต้องรอดูชั้นอุทธรณ์ต่อไป
6. หลังจากนี้ ผมสงวนสิทธิในการพิจารณาปกป้องสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายของตนเองเช่นกัน
7. ที่เขียนเล่ามานี้ เพื่อจะให้กำลังใจกับคนทำงานสื่อทั้งหลายว่า ในบ้านนี้เมืองนี้ ถ้าเราทำหน้าที่โดยสุจริต มีข้อมูลข้อเท็จจริงหนักแน่น นำเสนอตรงไปตรงมา มุ่งตรงต่อการตรวจสอบเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง
เราทำได้ครับ
ไม่ผิดกฎหมาย
หากใครจะมาเล่นงานอย่างไร เราก็มีกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ศาลยุติธรรม เป็นที่พึ่ง
แต่ “สุจริตคือเกราะคุ้มกัน”
8. การตรวจสอบในเรื่องนี้ แม้แต่บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ จำกัด (บริษัทลูกของ Deloitte Touche Tohmatsu ผู้สอบบัญชีระดับโลก) ได้รายงานผลการตรวจสอบโครงการปลูกปาล์มน้ำมันที่ประเทศอินโดนีเซียฯ พบว่า มีการกระทำผิดระเบียบ กฎเกณฑ์ ก่อให้เกิดความเสียหายชัดเจน
บางโครงการ อนุมัติให้จัดทำโครงการไปก่อน แล้วมาอ้างรายงานสนับสนุนภายหลัง
บางโครงการ ลงนามข้อตกลงในการซื้อขายทรัพย์สิน โดยไม่มีการขออนุมัติจากบอร์ด
บางโครงการ ปรับมูลค่าซื้อที่ดินสูงขึ้น เกินหลักเกณฑ์ อ้างเฉยว่า มีโอกาสทำถ่านหิน !!!!
บางโครงการ มีบริษัทนายหน้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ในกระบวนการซื้อขายที่ดินระหว่างผู้ขายกับ PTT.GE โดยบริษัทนายหน้าจะได้ค่าคอมมิชชั่นถึง 35% และค่าให้บริการอีก 325 เหรียญสหรัฐ/เฮกตาร์
สุดท้าย ไปๆ มาๆ ไส้ในบริษัทนายหน้าก็ชื่อคนไทยหลายคน
พัวพันกับญาติใกล้ชิดของผู้ดำรงตำแหน่งบางหน่วยงานด้วย
9. ผมอยากจะเรียกร้องไปยัง ป.ป.ช.
ท่านทั้งหลายมีอำนาจ หน้าที่ ตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ ในการสอบสวนดำเนินคดีกับคนโกงบ้านโกงเมือง สามารถทำคุณประโยชน์กับประเทศชาติได้มากมายกว่าสื่อมวลชนทั่วไป
ทราบว่า ป.ป.ช.บางท่านถูกฟ้องร้องถูกดำเนินการสารพัดรูปแบบเพื่อสกัดกั้น
ขอให้ท่านมีพลังและความกล้าหาญ จัดการสะสางคดีทุจริตต่างๆ ให้เด็ดขาดเสียที
ล่าสุด ทราบว่า คดีโครงการปาล์มอินโดฯ ป.ป.ช.ก็ยังไม่มีการชี้มูลความผิดสักที
ผ่านมา 5 ปีกว่าแล้ว!!!
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี