หลักการเสนอข่าวในเบื้องต้นที่สอนกันง่ายๆ คือให้ double check ก่อนนำเสนอข้อมูลสู่สาธารณะ สำหรับผู้สื่อข่าวโง่ที่สุดเขาสอนว่าถ้ามีคนพูดว่าฝนกำลังตกแต่อีกคนพูดว่าแดดออก ไม่ต้องฟังใครให้เปิดหน้าต่างแล้วแหกตาดูด้วยตัวเอง
นั่นคือวิธีสอนคนเสนอข่าวที่โง่ที่สุด แต่การเสนอข่าวจริงแต่ละชิ้นมันไม่ง่ายเพียงแค่นั้นโดยเฉพาะข่าวทีวีและวิทยุ ผู้นำเสนอหรือผู้ประกาศข่าวเป็นเพียงบุรุษไปรษณีย์ที่อ่านตาม
สคริปต์ เท่านั้น เพราะก่อนที่ข่าวชิ้นหนึ่งจะออกมาหน้าจอทีวี ต้องผ่านโปรดิวเซอร์ คนเขียนบท คนตัดต่อเนื้อข่าวให้เข้ากับบทบรรณาธิการข่าวหรือบางคราวต้องให้หัวหน้าข่าวประจำช่วงเวลานั่นๆ ตรวจทานอีกทีถึงจะออกมาหน้าจอได้
เพราะฉะนั้นการที่ผู้ประกาศทีวีไทยพีบีเอสคนหนึ่งแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่ได้เสนอข่าว
ด้อยค่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ด้วยการประกาศงดอ่านข่าวสองอาทิตย์ การแสดงความรับผิดแค่นั้นถือว่าแก้ผ้าเอาหน้ารอดและดูถูกภูมิปัญญาประชาชนว่ารู้ไม่ทันเจตนาร้ายของสถานีทีวีไทยพีบีเอส
สมัย นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี มีกลุ่มสมัชชาคนจนมาประท้วงหน้าทำเนียบรัฐบาลตั้งหลักพักค้างอยู่เป็นเวลานาน วันหนึ่งเจ้าหน้าที่จูงสุนัขตำรวจไปดมหาสิ่งผิดกฎหมายและดูความปลอดภัย มีคนฉวยโอกาสสร้างเรื่องอื้อฉาวโดยเตะสุนัขตำรวจ
สุนัขก็งับเอาเท่านั้น!!
และนสพ.ที่มีอคติกับรัฐบาลก็เอาเขียนบทความวิจารณ์ว่า “รัฐบาลชวนหมากัด” นายชวน ตอนแรกแค่พูดว่า “ข้อเสียของสื่อคือเขียนข่าวผิดแล้วไม่ยอมแก้ข่าวเพราะกลัวเสียหน้า”
แต่คอลัมนิสต์ที่มีอคติคนนั้นยังเขียนโจมตีต่อจนนายชวนต้องฟ้องศาล สุดท้ายหนังสือพิพม์ฉบับนั้นแพ้คดีต้องขอโทษนายกรัฐมนตรีและต้องชดใช้ค่าเสียหาย แต่เสียดายที่จำไม่ได้แล้วว่าเป็น นสพ.ฉบับไหน ใครสนใจถามนายชวนได้
ผู้ที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ต้องรับผิดต่อประเทศชาติ สถาบันและประชาชนทั้งประเทศ เมื่อสื่อสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติกับสถาบันและดูหมิ่นคนในฐานะนายกรัฐมนตรี ต้องตอบโต้ต้องดำเนินคดี
ไม่ใช้ปล่อยให้สร้างความเสียหายเป็นภัยต่อชาติและสถาบันตลอดถึงความมั่งคงของชาติ ดังเช่นรัฐบาลนี้ที่ลอยตัวไม่แตะสื่อไม่กล้าสู่รบตบมือกับฝ่ายต่อต้านสถาบันฯมันจึงทำให้สื่อเลวคนชั่ว ทำร้ายทำลายสถาบันสูงสุดของชาติ ได้เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ในกรณีไทยพีบีเอส การเสนอข่าวด้อยค่าเสนอข่าวในแง่ลบเรื่องวีคซีนป้องกันโควิด ซึ่งสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติอย่างมิอาจประเมินค่าได้ นี้มิใช่ความผิดพลาดครั้งแรกของไทยพีบีเอส แต่มันครั้งที่ร้อยหรือครั้งที่พันแล้วก็เป็นไปได้
จนเจ้านายอย่างหม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล ถึงกับตรัสว่า “ปิดเถอะไทยพีบีเอส”
ข่าวในประเทศ ทำให้ประชาชนผู้เสพข่าว เกิดความสับสนข่าวสถาบัน วันพระราชสมภพ เป็นวันสวรรคต ออกไปก่อน แล้วมาขอโทษภายหลัง
เราจำได้ว่าครั้งหนึ่งในวันเฉลิมพระชนพรรษาของรัชกาลที่ 9 ขณะที่ทีวีรวมการเฉพาะกิจถ่ายทอดสดร้องเพลง
สรรเสริญฯ ไทยพีบีเอสถ่ายทอดรายการอะไรก็ไม่รู้แทรกเข้ามา
เหตุการณ์ทำนองนี้มีมาตลอดเวลาจนประชาชนเอือมระอา แต่รัฐบาลไม่รู้สึกรู้สาอะไร ในห้วงเวลาที่เด็กรุ่นใหม่มุ่งทำลายสถาบัน ไทยพีบีเอสเลือกถ่ายทอดเอาตอนที่เด็กชั่วใช้วาจาหยาบคายทำร้ายสถาบันหรือไม่ก็สัมภาษณ์นำปล่อยเสียงเข้าข้างคนชั่วร้ายตลอดเวลา
เราเคยพูดกับผู้ที่เคารพนับถือซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงไทยพีบีเอสเวลานี้ในงานครบรอบ 42 ปี นสพ.แนวหน้าว่า “ไทยพีบีเอสใช้ไม่ได้” ยังคงเสนอข่าวรับใช้เจ้านายเก่าและแนวร่วมเจ้านายเก่าอยู่ตลอดเวลา
ท่านเถียงว่าสมัยนี้ไม่มีแล้ว แต่หลังจากเราพูดกันไม่นานข่าวเช่าเหมาลำเครื่องบินจากอินเดียก็ออกมาให้คนด่ากันทั้งเมือง และสุดท้ายข่าวร้ายทำลายชาติอย่างร้ายแรงคือข่าวด้อยค่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่รัฐบาลรณรงค์ให้คนลงทะเบียนฉีดวัคซีน
แต่ไทยพีบีเอสกลับไปเป็นแนวร่วมให้คนชังชาติอาฆาตพยาบาทสถาบัน ให้ความสำคัญกับคนที่ให้ข่าวในแง่ลบ
เช่น ที่พูดว่ารัฐบาลเลือกซื้อวัคซีนราคาถูกสุดมาให้คนไทยใช้ หรือใครก็ตามที่พูดถึงประเทศไทยในแง่ลบมักเป็นแขกรับเชิญประจำของไทยพีบีเอส
ความจริงแล้วพื้นฐานที่มาและจุดเริ่มต้นของไทยพีบีเอส กำเนิดมาจากกลุ่มคนที่มีอคติต่อรัฐบาลและต่อมากลายเป็นทีวีรับใช้การเมืองของกลุ่มทุนสามานย์ปล้นชาติอาฆาตพยาบาทสถาบัน
คือสมัยรัฐบาล นายอานันท์ ปันยารชุน มีดำริให้มีทีวีเสรี หลังจากเหตุการณ์นองเลือดเดือน พ.ค. ปี 2535 สามปีต่อมามีการจัดตั้งไอทีวีเป็นทีวีเสรีที่เครือเนชั่นได้สัมปทานทำข่าวเป็นเจ้าแรกด้วยสโลแกนว่า “สื่อไม่มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์รัฐบาล”
ถูกต้องสื่อไม่มีหน้าที่ทำประชาสัมพันธ์ ให้รัฐบาล “แต่สื่อต้องไม่ใส่ร้ายรัฐบาล เช่น นายสุทธิชัย หยุ่น ซึ่งได้สัมปทานทำข่าวไอทีวีคนแรกวันนี้ยังมีอคติต่อรัฐบาลที่ออกข่าวปลอม (fake news) ว่า “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทินชาญวีรกูล บอกนายกรัฐมนตรีว่าอย่าอนุญาตรพ.เอกชนซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19” ซึ่งเป็นข่าวปลอม ทำให้นายอนุทินถูกด่าเสียๆ หายๆ แล้วไม่ยอมแก้ข่าวให้
นั่นคือสันดานของผู้บุกเบิกไอทีวีแต่อย่างไรก็ตามเครือเนชั่นทำข่าวไอทีวีอยู่ได้ไม่นานก็ถูก นายทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเทคโอเวอร์และสั่งไอทีวีให้หันซ้ายหันขวา จนอาจารย์สมเกียรติ อ่อนวิมลทนไม่ได้ถอนตัวออกไปเพราะไม่ยอมรับใช้การเมือง
ตั้งแต่อาจารย์ สมเกียรติ ถอนตัวออกไปไอทีวีเปลี่ยนจากทีวีเสรีเป็นทีวีไทยรักไทยของนายทักษิณ ที่รับใช้ทั้งพรรคการเมืองและบริษัทในเครือชินวัตร จนกระทั่งไอทีวีถูกขายให้สิงคโปร์คนในไอทีวีทุรนทุรายอยากเอาไอทีวีคืนมาให้ได้ เพราะถ้าเป็นของสิงคโปรต้องรับใช้ทั้งนายใหม่และนายเก่า
จนในที่สุดก็ได้ไอทีวีกลับมาเป็นของไทยในชื่อใหม่ไทยพีบีเอส ที่รัฐบาลไทยต้องเจียดภาษีไปให้ตระกูลชินวัตรผลาญปีละสองพันกว่าล้านบาท ที่ว่าให้ตระชินวัตรผลาญ เพราะถึงแม้เปลี่ยนจากไอทีวี มาเป็นไทยพีบีเอส ก็ยังเช่า
ที่ตั้งสถานีในอาคารชินวัตร เช่าเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ จากบริษัทของตระกูลชินวัตร
ผู้สื่อข่าว ผู้บริหารทีมงานทั้งหลายแทนที่จะขอบคุณคนไทยที่เจียดภาษีให้ไปผลาญ กลับไปขอบคุณตอบแทนบุญคุณตระกูลชินวัตรเหมือนข้าเก่าเต่าเลี้ยงโดยเฉพาะนายทักษิณ
สมุนบริวารคนเครือข่ายนายทักษิณก็กลับเข้ามามีอิทธิพลในการเสนอข่าวของไทยพีบีเอส เข้ามาเป็นแขกรับเชิญ
ในรายการ political talk show เช่น รายการตอบโจทย์ของนายจอม เพชรประดับ ที่มีหลายครั้งหลายเชิญคนมาแซะ
สถาบัน จนชาวบ้านเรียกรายการนั้นว่ารายการตอบโจร
นอกจากรายการตอบโจรแล้วยังมีผู้ดำเนินรายการหลายคนที่ยังคงรับใช้นายใหญ่จนวันสุดท้ายของการจัดรายการ ดังนั้นคนในไทยพีบีเอสทั้งคนเก่าและคนใหม่ล้วนรับใช้หรือก็ฝักใฝ่ นายใหญ่ฝักใฝ่ฝ่ายต่อต้านรัฐถึงขั้นชังชาติ
เกลียดหรืออคติต่อพลเอกประยุทธ์ ยังพอรับได้ แต่การขัดขวางหรือเสนอข่าวในแง่ลบของความพยายามป้องกันหรือระงับการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ถือว่าเป็นการชังชาติที่ไม่อาจรับได้
นอกจากไทยพีบีเอสแล้ว ทีวีช่องสามยังเสนอ fake news จากกรณีสาวแชร์ประสบการณ์ของผู้รับวัคซีนซิโนแวค โดสที่ 2 ที่ฉีดวัคซีนในพื้นที่ จ.อุดรธานี หลังฉีด 3 นาที ก็มีอาการชาไปทั้งร่างกาย ก่อนจะตรวจพบว่า มีเลือดออกในสมอง ล่าสุด ได้รับยาครบแล้ว มีอาการดีขึ้น รอฟื้นฟูระบบประสาท จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ของ ซิโนแวค ว่า มีประสิทธิภาพเหมาะสมหรือไม่ รวมไปถึงตำหนิไปยังรัฐบาลจากกลุ่มที่ไม่ชื่นชอบรัฐบาล ถึงการที่นำวัคซีนที่ไม่ได้คุณภาพมาฉีดให้กับประชาชน
อย่างไรก็ตาม เพจ “Stree Hero Project” ได้ออกมาเปิดเผยว่า ภาพดังกล่าวที่ผู้ป่วยเป็นผื่นขึ้นเต็มตัว ที่ถูกนำไปแอบอ้างว่าเป็นผลมาจากการแพ้วัคซีนโควิด-19 นั้น เป็นภาพของผู้ป่วยที่เป็นผื่นที่ รพ.หนองม่วง ในจังหวัดลพบุรี ไม่ใช่ภาพของหญิงสาวที่แพ้วัคซีนที่อุดรธานีแต่อย่างใด ทาง รพ.หนองม่วงจะดำเนินคดีกับผู้ที่ใช้ภาพดังกล่าว
ถ้าไทยพีบีเอสและทีวีช่อง 3 ถ้าได้ใช้นักข่าวที่โง่ที่สุดdouble ckeck กับโรงพยาบาลก็จะไม่ปล่อย fake newsทำให้ชาวประชาชนสับสน จึงพออนุมานได้ว่าทีวีเสรีเป็นสื่อชังชาติหรืออาจผิดพลาดโดยจงใจ
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี