“การปั่นกระแสสหรัฐอเมริกาขอตั้งฐานยิงขีปนาวุธในประเทศไทยคือเล่ห์กลทำเป็นขอเรื่องใหญ่ เพื่อกดดันให้ได้สิ่งที่เล็กน้อยกว่า หรือไม่ก็ทึกทักเอาว่ารัฐบาลไทยยอมรับใช้สหรัฐอเมริกาเหมือนคราสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร” แหล่งข่าวกล่าว
สมมุติฐานที่ว่าสหรัฐอเมริกาจะทำสงครามกับจีนในเวลาสามสิบปี อาจมีพื้นฐานมาจากที่สหรัฐทุ่มทุนสร้างกงสุล ใหญ่โตมโหฬารที่เชียงใหม่ซึ่งติดกับเชียงรายที่หลายคนคาดหมายว่าใช้เป็นฐานยิงขีปนาวุธทำลายจีนได้
“แต่การปั่นกระแสเรื่องสหรัฐขอตั้งฐานยิงขีปนาวุธในประเทศไทยตลอดถึงจุดยุทธศาสตร์ที่คาดหมายทั้งสองเรื่องเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีประเทศไหนในอาเซียนรวมถึงประเทศไทยยอมให้สหรัฐตั้งฐานยิงขีปนาวุธ” นักวิชาการด้านความมั่นคง กล่าว
เรื่องที่สงสัยว่าสหรัฐจะใช้ภาคเหนือของไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ ก็คาดหมายและตั้งข้อสงสัยว่าทำไมสหรัฐถึงสร้างสถานกงสุลใหญ่บนพื้นที่ 15 ไร่ 77 ตารางวา
และใช้เงินกว่า 8.8 พันล้านบาท
ในบริเวณกงสุลและห้องใต้ดินติดตั้งอะไรไว้เป็นอุปกรณ์สปายหรือไม่ ไม่มีใครทราบได้เพราะสหรัฐนำเครื่องมือสื่อสารและอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาพร้อมกับกำลังพลระหว่างฝึกคอบร้าโกลด์ร่วมกันทุกปี แต่เวลากลับไปบางทีทำเป็นลืมนั้นโน้นนี้เอาไว้ไม่ได้นำกลับไปหมดทุกอย่าง
“แต่สิ่งที่กองทัพสหรัฐทำเป็นลืมไว้คงไม่ใช่รถ 12 ล้อ ที่เป็นโมบายฐานยิงขีปนาวุธ รถแบบนั้นไม่อนุญาตให้ใช้ในประเทศไทยและในประเทศอาเซียน” นักวิชาการด้านความมั่นคงกล่าว
ที่สหรัฐทำเป็นลืมอุปกรณ์นั้นโน้นนี้ไว้ได้เพราะสนธิสัญญาสหรัฐอเมริกากับไทยที่ทำไว้มีเงื่อนไขข้อยกเว้นให้หลายประการ “ดังนั้นจึงมีคำถามว่าสหรัฐอยากจะใช้ประเทศไทยเป็นฐานหรือไม่ ตอบว่าสหรัฐพยายามตลอดเวลาแต่มันขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลไทยจะยอมหรือไม่..”
ปี 2540 ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย สหรัฐขอตั้งฐานทัพลอยน้ำแต่รัฐบาลไทยไม่ยอม
“โดยให้เหตุผลว่า เป็นการปฏิบัติการเชิงรุกทางทหารของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาค จะสร้างความไม่สบายใจให้กับจีน และเวียดนาม และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ทำให้เสียศักดิ์ศรีที่มีกองเรือต่างชาติในน่านน้ำไทย เป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมการประมงชายฝั่ง และนำไปสู่ปัญหาทางสังคม และวัฒนธรรม กรณีที่ทหารเรือสหรัฐ ขึ้นฝั่ง”
เมื่อรัฐบาลชวน หลีกภัย ไม่ยอม สหรัฐก็รามือไปเพราะเข้าใจได้ว่าไทยไม่ยอมให้ใช้ประเทศเป็นฐานต่อต้านจีน ความจริงสหรัฐรู้อยู่เต็มอกว่าเพื่อนบ้านของไทยไม่ว่าจะเป็น สปป.ลาว กัมพูชา และ พม่าต่างหันหน้าไปหาจีน 100% ส่วนไทยนั้น 50-50 คือเรามีนโยบายอยู่ร่วมกันได้ทั้งกับจีนและอเมริกา
นักวิชาการกล่าวด้วยว่า มองในแง่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างคนไทยกับจีนและคนไทยกับอเมริกัน ตั้งแต่ระดับสถาบันฯรัฐบาลและชาวบ้านธรรมดา จีนลึกซึ้ง
แนบแน่นกับไทยมากกว่าอเมริกา
ผลที่ออกมาจึงเป็นการปั่นกระแสว่า สหรัฐอเมริกากำลังจะตั้งฐานขีปนาวุธในประเทศไทย ตามนโยบายที่ขอ Maximum แต่ก็รับได้เลยถ้าให้ Minimum นั้นหมายความว่าอเมริกาทำเป็นขอเรื่องใหญ่เพื่อกดดันให้ได้เรื่องเล็กน้อยที่ขอไว้
คนจีนตั้งแต่รัฐบาลถึงชาวบ้านธรรมดารักและยกย่องชื่นชมกรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มาก ผู้แทนจากประเทศจีนเมื่อพบกับผู้แทนจากประเทศไทยในที่ประชุมนานาชาติ เช่น อาเซียนซัมมิตจะยิ้มแย้มพูดจาปราศรัยเป็นมิตรกับไทยมากกว่า
“คุณเชื่อไหม? ตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา ในที่ประชุมอาเซียนซัมมิต ผู้แทนจากอเมริกา เดินเชิดหน้าผ่านพวกเราไปไม่เคยทักทายหรืออยากทำความรู้จัก...จนผมต้องพูดกับ จอห์น แมคเคน (ก่อนเขาตาย) ว่าพวกคุณทำอย่างนี้ไม่ได้นะ...ตั้งแต่นั้นมาถึงได้มีปฏิสัมพันธ์กันบ้าง...” แหล่งข่าวกล่าว
สหรัฐซึ่งรามือไปตั้งแต่รัฐบาล ชวน หลีกภัยไม่ยอมให้ตั้งฐานทัพลอยน้ำ แต่พอถึงยุครัฐบาลไทยรักไทยของนายทักษิณ เป็นรัฐบาลต่อมา ตลอดเวลา 5 ปี นายทักษิณได้ทำข้อตกลงลับกับสหรัฐมากมายแค่ไหนไม่อาจรู้ได้ แต่หลักฐานเชิงประจักษ์ปรากฏชัดเมื่อนางจีนา แฮสเปล ขณะที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้อำนวยการ ซีไอเอ
ยอมรับต่อสภาคองเกรส ว่าเคยใช้ฐานทัพบางแห่งในประเทศไทยเป็นคุกลับสำหรับกักขังและทรมานผู้ต้องสงสัยเป็นผู้ก่อการร้าย อัล-เคดา หลายราย
และกรณีที่นายทักษิณเปิดทางให้หน่วยต่อต้านผู้ก่อการร้ายจากสหรัฐมาจับตัวนายอัมบาลี ผู้ต้องสงสัยเป็นแกนนำอัล-เคดา ถึงกลางเมืองอยุธยาแล้วพาบินข้ามหัวเจ้าหน้าที่ไทยไปยังค่ายกวนตานาโม ที่สหรัฐเช่าจากคิวบา กวนตานาโมเป็นสถานกักกันที่ทรมานสุดเหี้ยมโหดผิดมนุษย์มนา
ในปี 2546 รัฐบาลไทยรักไทย ส่งทหารไทยไปร่วมในสงครามสหรัฐรุกรานอิรัก ในข้ออ้างว่าเป็นหน่วยทหารพัฒนาและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม นอกจากนั้นรัฐบาลนายทักษิณยังเปิดทางให้เครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพสหรัฐแวะเติมน้ำมันและซ่อมบำรุงที่สนามบินอู่ตะเภาก่อนไปทิ้งระเบิดใส่อัฟกานิสถานและบางประเทศในตะวันออกกลาง
เมื่อถึงวาระรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สหรัฐยิ่งได้ใจเหิมเกริมใหญ่ขอใช้อู่ตะเภาที่ตั้งฐานดาวเทียมสอดแนมจีน ในข้ออ้างว่าเป็นดาวเทียมการวิจัยภัยทางภูมิอากาศเพื่อเตือนภัยมนุษยชาติ โชคดีที่มีคนไทยประท้วงคัดค้านจน น.ส.ยิ่งลักษณ์ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปมิฉะนั้นสหรัฐอเมริกาคงเชิดหน้าใส่จีนว่าเห็นไหมไทยอยู่ฝ่ายเรา
ตั้งแต่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจจากรัฐหัวขาดเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2546 เป็นต้นมาสหรัฐอเมริกาตัดญาติขาดมิตรกับรัฐบาลไทยเพราะตามกม.สหรัฐไม่ให้คบกับรัฐบาลทหารที่มาจากการยึดอำนาจ แต่ก็ไม่วายแทรกแซงกิจการภายในของไทยและตัดงบประมาณที่เคยให้ความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยตามประสา
ในเวลาเดียวกันรัสเซีย-จีน ไม่ติดใจเรื่องกิจการภายในของไทยความสัมพันธ์ทางทหารและด้านเศรษฐกิจค้าขายกับจีนและรัสเซียก็ขยายตัวขึ้นมาแทนความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาถึงขนาดว่ารัสเซียจะมาลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตอาวุธในประเทศไทย
ทำเอาอเมริกา อดรนทนไม่ได้มางอนง้อขอความร่วมมือในการซ้อมรบคอบร้าโกลด์ที่ดัดจริตยกเลิกไปสองปีก่อนหน้ามาถึงตอนนี้ไทยบอกว่าได้แต่ยอมให้อย่างมีข้อจำกัด คือจะโหมขนอาวุธขนทหารมาเป็นหมื่นนายไม่ได้แล้ว
สันดานอเมริกาได้คืบเอาศอกได้ศอกเอาวา เมื่อเริ่มกลับมาซ้อมรบคอบร้าโกลด์ได้ก็ขอให้เรือรบของอเมริกาแวะพักที่พัทยา จนกระทั่งสหรัฐอเมริกามีประธานาธิบดีคนใหม่นายโจ ไบเดน
โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตของอเมริกา ที่บ้าสงครามเข้ามาก็ขอใช้สนามอู่ตะเภาเหมือนที่สหรัฐเคยใช้ในรัฐบาลทักษิณแต่ฝ่ายไทยตอบกลับว่า เฮ้ย..ไม่ได้ ตอนนี้ประเทศไทยกำลังพัฒนาให้อู่ตะเภาเป็นศูนย์กลางการบินพาณิชย์ในภูมิภาคนี้
นอกจากขอใช้สนามบินอู่ตะเภาแล้ว วอชิงตันยังขอทุกอย่างที่เคยได้ในสมัยรัฐบาลนายทักษิณเมื่อได้รับการตอบสนองอย่างเฉยเมยลอยตัวตามสไตล์ทำให้อเมริกาโกรธที่ไม่ได้ดั่งใจสั่งให้สมุนบริวารที่อยู่แดนไกลฟาดงวงฟาดงา
ผลที่ออกมาจึงเป็นการปั่นกระแสว่าสหรัฐอเมริกากำลังจะตั้งฐานขีปนาวุธในประเทศไทย ตามนโยบายที่ขอ Maximum แต่ก็รับได้เลยถ้าให้ Minimumนั้นหมายความว่าอเมริกาทำเป็นขอเรื่องใหญ่เพื่อกดดันให้ได้เรื่องเล็กน้อยที่ขอไว้
แต่เราไม่รู้ว่าเรื่องเล็กที่สหรัฐขอไว้คืออะไร และทำไมจึงปั่นกระแสว่าสหรัฐอเมริกาจะมาตั้งฐานยิงขีปาวุธในประเทศไทยซึ่งเป็นไปไม่ได้ในรัฐบาลนี้ และรัฐบาลต่อๆ ไป ถ้าไม่ใช่เป็นรัฐบาลในเครือข่ายของสัมภเวสีหนีคุก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี