สถานการณ์การบริหารจัดการวัคซีนเริ่มดีขึ้นหลังจากเริ่มวันดีเดย์ในวันที่ 7 มิ.ย. ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ มีสะดุดบ้างช่วงแรกที่ต้องปรับให้เข้าที่เข้าทางแต่ก็ถือว่าสามารถจัดการได้เป็นอย่างดี เหนือสิ่งอื่นใด การระดมฉีดใน 3 วันที่ผ่านมาก็ทำให้ประชาชนเริ่มกลับมามั่นใจในความสามารถในการจัดการของรัฐบาลอีกครั้ง ประกอบกับเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีนหลักทั้งสองชนิดก็ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลกแล้ว ตลอดจนผลข้างเคียงที่เกิดในประเทศก็นับว่ามีจำนวนน้อยมาก อาจมีเพียงบางรายเท่านั้นที่มีการแพ้ที่รุนแรง ตอนนี้หลายฝ่ายจึงมาจับตาดูว่ารัฐบาล และสปสช. ที่บอกว่าได้เตรียมแนวทางในการเยียวยาไว้แล้วจะทำได้เพียงใด
นอกจากนี้ยังต้องจับตาต่อไปว่า วัคซีนจะขาดตอนหรือไม่และจะทำได้อย่างที่พูดหรือไม่ว่าจะทำการฉีดให้ครอบคลุมประชากรกว่า 70% ของประเทศให้ได้ภายในธันวาคมนี้ได้หรือไม่? โดยเมื่อกางแผนการฉีดวัคซีนออกมาในเวลานี้จะเห็นได้ว่าช่วงแรกนี้วัคซีนที่มาช้ากว่ากำหนด ทำให้กระบวนการฉีดตามแผนมีการหยุดชะงักไป นอกจากนั้นแล้วในหลายพื้นที่ก็ยังได้รับจัดสรรไม่เป็นไปตามแผน กล่าวคือน้อยกว่าความต้องการมากจึงทำให้เป้าหมายที่คาดการณ์ว่าปริมาณการฉีดต่อวันอยู่ที่ 4-5 แสนโดสต่อวัน น่าจะห่างจากเป้าหมายไปเยอะพอสมควร และหากดูสถานการณ์ในปัจจุบันที่วัคซีนที่เข้ามาไม่แน่นอน โดยทางสาธารณสุขยังให้คำตอบไม่ได้ และรัฐมนตรีก็บอกได้เพียงว่าการบริหารจัดการวัคซีนแบบองค์รวมเป็นรายสัปดาห์ จึงกลายมาเป็นคำถามว่า สรุปแล้วตัวเลขวัคซีนมีอยู่เท่าไรกันแน่ ? ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในประเด็นนี้
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ในเดือนธันวาคม 2564 นี้ ยอดผู้รับวัคซีนของไทยอาจไม่เกินร้อยละ 40-50 ของประชากร ซึ่งอาจทำให้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ยังไม่นับรวมเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อสายพันธุ์ใหม่ต่างๆ ที่จะเพิ่มขึ้นและวัคซีนที่มีจะครอบคลุมการป้องกันหรือไม่? ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องแก้ปัญหาต่อไป มิเช่นนั้น เรื่องวัคซีนจะกลายเป็นเรื่องการเมืองแทน ซึ่งตอนนี้บางมุมก็ถือว่าเป็นอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้มีความพยายามสร้างกระแสการยุบสภาจนทำให้เกิดความลังเลของฝ่ายราชการเสริมกำลังอยู่แล้ว
เมื่อกลับมาดูที่ ตัวเลขของอัตราผู้ได้รับวัคซีนต่อประชากรว่าตัวเลขเท่าใดถึงจะเหมาะสมต่อการเปิดให้ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ตัวเลข 70% ของประชากร มาจากแนวคิดของการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ตามหลักการของการระบาดวิทยา แต่ในความเป็นจริงแล้วในหลายประเทศที่มีการฉีดวัคซีนไปก่อนหน้านี้เปิดให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้เกือบปกติด้วยตัวเลขการฉีดวัคซีนที่ 30- 40% ของประชากรเท่านั้น เช่น ในฝรั่งเศส และจีนที่เปิดให้มีการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจก่อน เพื่อให้การขยับขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นตัวผลักดันให้ระบบอื่นๆ ทำงานได้ ประชาชนทำมาหากินได้ ซึ่งก็ส่งผลดีต่อรัฐบาลด้วย ฉะนั้นแล้วตัวเลขที่สำคัญที่ทำให้การบริหารวัคซีนและการควบคุมโรคคือปริมาณวัคซีนที่มีในแต่ละเดือนมีเท่าไหร่ โดยใช้หลักการสำคัญในการบริหารคือ 1.การเก็บรักษาสำหรับเข็มที่สองเพื่อให้ได้การป้องกันที่ครบถ้วน โดยเฉพาะวัคซีน Sinovac ที่มีระยะเวลาที่สั้นอยู่ที่ 2-4 สัปดาห์เท่านั้น 2.การใช้วัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในจังหวัดหรือพื้นที่ที่มีการระบาดอยู่ ซึ่งเป็นแนวคิดว่าหากสร้างภูมิคุ้มกันได้เร็วในจุดที่มีปัญหาจะทำให้สถานการณ์สงบได้เร็ว 3.การพิจารณาถึงมิติทางเศรษฐกิจในจังหวัดที่เป็นจังหวัดท่องเที่ยว อย่างเช่น ภูเก็ต ที่กำลังเร่งจะทำเป็นกระบะทราย (Sand box) หากสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ก็จะสามารถรับนักท่องเที่ยวได้ หรือจังหวัดชายแดนที่มีด่านการค้า เป็นต้น และ 4.การจัดสรรอย่างเท่าเทียมในจังหวัดที่เหลือ ซึ่งหากใช้กรอบนี้ในการบริหารวัคซีนแล้วประเทศก็น่าจะกลับมาเป็นปกติได้ในเร็ววันแม้ว่าจะไม่ได้ครอบคลุมถึง 70% ของประชากรทั้งประเทศก็ตาม
แต่ก็มีหลายคนตั้งข้อสังเกตเรื่องการจัดสรรวัคซีนในปัจจุบันโดยกระทรวงสาธารณสุขว่ามีแผนการจัดการอย่างไร เนื่องจากตัวเลขที่พบคือ พื้นที่กรุงเทพฯ ได้รับการจัดสรรวัคซีนเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งก็อาจมองได้ว่าเพราะก็เป็นศูนย์กลางการบริหารและศูนย์รวมการประกอบอาชีพ จึงมีประชากรทั้งประชากรหลักและประชากรแฝงร่วมๆ 10 ล้านคน ที่ใช้ชีวิตอย่างหนาแน่นในพื้นที่ กทม. แต่ที่หลายคนสงสัยคือจังหวัดที่ได้รับจัดสรรวัคซีนเป็นอันดับสองรองจากพื้นที่ กทม. คือจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งถือว่าหากพูดในมิติของการบริหารจัดการชายแดนก็อาจจะถูกเพราะเป็นชายแดนที่ติดกับประเทศกัมพูชา แต่จำนวนที่ได้รับจัดสรรไปนั้นได้มากกว่าจังหวัดท่องเที่ยวที่มีแผนจะผลักดันให้มีการเปิดเกาะก่อนในต้นเดือนหน้าถึงหนึ่งเท่าตัว หรืออย่างกรณีของจังหวัดลำปางที่มีการลงทะเบียนมาก่อนหน้าทำไมถึงยังได้จัดสรรน้อยทั้งๆ ที่หลายคนเคยออกมาชื่นชมการทำงานเชิงรุกของทางจังหวัด เรื่องนี้ก็เป็นประเด็นตั้งคำถามไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่าที่สุดแล้วการจัดสรรวัคซีนว่ามีแนวทางการพิจารณาอย่างไร? เพราะพื้นที่บุรีรัมย์ถูกมองว่าเป็นพื้นที่การเมืองของเจ้ากระทรวงหรือไม่ ? จึงได้รับการดูแลเช่นนี้ได้
เรื่องการบริหารจัดการวัคซีนโดยกรมควบคุมโรค ที่ผ่านมานายกฯได้ให้เป็นหน้าที่ของสาธารณสุขเป็นคนดูแลเรื่องการแจกจ่ายให้ตรงกับความจำเป็น และมอบหมายให้ทางมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องกระบวนการภายในจังหวัด แต่ก็มีการตั้งคณะกรรมการวัคซีนฯขึ้นมาอีกชุดหนึ่งเป็นผู้กำกับสถานการณ์ซึ่งประชาชนก็คาดหวังให้คณะกรรมการชุดนี้ใช้อำนาจที่นายกฯรวบรวมมาบริหารจัดการเอง ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเสียที? แต่ก็มีกระแสว่าที่วันนี้ยังนิ่งอยู่เพราะหากรวบรัดตัดตอนอำนาจของ รมว.สาธารณสุข ก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพลังประชารัฐ และพรรคร่วมอย่างภูมิใจไทยได้ เนื่องจากในการเปิดประชุมสภารอบล่าสุดที่มีการอภิปรายงบประมาณในวาระที่ 1 ภูมิใจไทยก็ทำให้เห็นแล้วว่ากำลังคิดอะไรอยู่? แต่ถ้านี่ถูกมองว่าเป็นเพียงการเมือง ท่านนายกฯ ก็ต้องประเมินสถานการณ์ใหม่ อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้นำรัฐบาล ถึงเวลานี้ต้องมองที่ผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก และการแก้ปัญหาประชาชนอาจต้องอยู่เหนือความเกรงใจหรือเกมการเมือง ความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอาจเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้มากกว่า ?
ทางฝั่งพลังประชารัฐเองก็มีกระแสที่น่าสนใจว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนในการกระชับอำนาจภายในกันด้วยหรือไม่? โดยมีข่าวว่า ร.อ.ธรรมนัส กำลังรวบรวมขุมกำลังเพื่อยึดเก้าอี้เลขาฯพรรคใช่หรือไม่?
โดยจะมีการประชุมใหญ่ของพรรคในประมาณวันที่ 20 มิ.ย.นี้ เพราะมีกระแสข่าวว่าจะมี สส.บางกลุ่มสนับสนุนให้ ร.อ.ธรรมนัส เป็นเลขาฯพรรคเต็มตัวไปเลย จากเดิมที่เคยมีข่าวภายในว่าจะให้นายสันติ หรือนายสมศักดิ์ นั่งเก้าอี้เลขาฯ แต่บทบาทผู้กองธรรมนัสนั้นกลับเด่นชัด ในฐานะมือขวาของพล.อ.ประวิตร อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการเรียกคะแนนโหวตในสภาและมีเครือข่ายในพรรคฝ่ายค้านด้วยหรือไม่ ซึ่งหากแกนนำพรรคมองว่าเกมตอนนี้ในขณะที่พรรคร่วมกำลังมีประเด็น การกระชับอำนาจภายในเปลี่ยนเกมจากเกมรับที่ให้พรรคร่วมไล่บี้เป็นเกมรุกที่พรรคร่วมต้องเกรงใจเพราะไม่ใช่ว่าเสียงจากรัฐบาลเท่านั้นแต่มีเสียงจากบางส่วนจากฝ่ายค้านที่เต็มใจยกมือให้และบางส่วนที่ก็รอวันยกมืออีกไม่น้อย ขณะที่พล.อ.ประวิตรก็ยังรักษาที่นั่งหัวหน้าพรรคได้อย่างเหนียวแน่น และให้ สส. เลือกกันเองว่าใครจะเป็นเลขาฯพรรคคนต่อไป ที่ต้องจับตามองคือหาก ร.อ.ธรรมนัส นั่งเก้าอี้เลขาฯจริงๆ กลุ่มสามมิตรของนายอนุชา ก็อาจจะถูกลดบทบาทลงด้วยหรือไม่? และจะทำให้เกิดรอยร้าวจากภายในขึ้นอีกรอบ หรือไม่?
สถานการณ์การเมืองของพรรคร่วมรัฐบาลกำลังเป็นตัวเร่งเร้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเชื่อว่านายกฯ ประยุทธ์ก็ยังเอาสถานการณ์อยู่อย่างแน่นอน แต่การบริหารจัดการสถานการณ์โควิดนี่เป็นของจริงมากกว่าเพราะกระทบประชาชนโดยตรง จึงถือเป็นจุดท้าทายรัฐบาล ของพลเอกประยุทธ์ กับอาถรรพ์เลข 7ในปีนี้ หรือไม่ เพราะหากทำได้ดี ฉีดวัคซีนตามเป้า ฟื้นตัวเศรษฐกิจหลังฉีดวัคซีนได้ระดับหนึ่ง พลเอกประยุทธ์จะกลับมาเป็นขวัญใจของประชาชนอีกครั้ง เรื่องการเมืองที่เหลือจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย แต่หากไม่เป็นเช่นนั้นหรือพลาดท่าอันใดในการจัดการสถานการณ์โควิด ฝ่ายตรงข้ามก็จะเอามาเป็นเหตุปั่นกระแสรัฐบาลได้อีกครั้งและครั้งนี้อาจยากลำบากว่าทุกครั้ง
“สวยงามเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบเท่านั้น มีแต่ความจริงจึงเป็นนิรันดร์
แต่ก็มีคนว่าเราเพียงสามารถกุมช่วงเวลาที่สวยงามเพียงชั่ววูบไว้ได้ก็พอแก่ใจแล้ว
ความจริงที่เป็นจริงนิรันดร์ทิ้งให้เป็นนิจนิรันดร์ต่อไปเราไม่แยแสสนใจเลย”
(โกวเล้ง จากมังกรเมรัย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี