ก็เป็นบทความที่ท่านผู้รู้ส่งมาให้ผมเกี่ยวกับ การรื้อโครงสร้างภาษีบุหรี่ แก้ปัญหาบุหรี่เถื่อน โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวการจับเรือบรรทุกบุหรี่เถื่อนลอตใหญ่ มูลค่ากว่า 34 ล้าน ทำให้เกิดคำถามตามมาถึงความคืบหน้าโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ เพราะจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้เห็นข่าวว่าจะเคาะออกมาเป็นแบบใด เท่ากับปล่อยให้บุหรี่เถี่อนเติบโต ไหลทะลักเข้าประเทศต่อไป จนอาจกระทบการจัดเก็บรายได้ของรัฐในช่วงที่รัฐกำลังต้องการงบประมาณเพื่อจัดการกับปัญหาโควิด-19 ได้
ก่อนหน้านี้ นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต ออกมายืนยันกำลังพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ให้มีความเหมาะสม โดยจะนำผลการศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างใหม่ไปหารือกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เพื่อหาข้อสรุปโดยเร็วที่สุด ซึ่งโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ต้องตอบโจทย์ 4 ด้าน คือผลกระทบต่อสุขภาพของผู้สูบบุหรี่ ผลกระทบต่อเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิต และการป้องกันดูแลการลักลอบขายและนำเข้าบุหรี่เถื่อนหรือบุหรี่หนีภาษี
โครงสร้างอัตราภาษียาสูบแบบ 2 ระดับ ที่บังคับใช้มาตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 มาจนถึงปัจจุบันนั้น ถูกหยิบยกขึ้นมาว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทย “สอบตก” ด้านการควบคุมการบริโภคบุหรี่และไม่สามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ได้ตามเป้าหมาย โดยเครือข่ายรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ เรียกร้องให้กรมสรรพสามิตปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่เป็นการเร่งด่วน พร้อมคัดค้านการทำภาษีหลายระดับหลายอัตรา เพราะเห็นว่าทำให้บุหรี่ไทยมีราคาสูงขึ้นและขายได้น้อยลง แต่บุหรี่ต่างประเทศที่ปรับราคาถูกลงและบุหรี่เถื่อนกลับขายได้มากขึ้น แสดงให้เห็นว่าผู้สูบบุหรี่ไม่ได้ลดการสูบ แต่เปลี่ยนไปสูบบุหรี่ที่ราคาถูกกว่า ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกมีการปรับอัตราภาษียาสูบให้เหลือระดับเดียว เนื่องจากภาษีหลายระดับขัดกับเจตนารมณ์ของภาษียาสูบที่ถูกต้อง ที่จะควบคุมและรณรงค์ให้ประชากรในประเทศสูบบุหรี่ลดลงและรัฐบาลเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น
ข้อเสนอดังกล่าวสอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งเป็นหน่วยงานระหว่างประเทศที่มีภารกิจด้านการควบคุมการบริโภคยาสูบ โดยในคู่มือด้านการเก็บภาษีล่าสุดของ WHO ที่ได้เผยแพร่เมื่อเดือนเมษายน ก็ยังคงแนะนำให้แต่ละประเทศใช้ภาษีอัตราเดียวสำหรับสินค้าบุหรี่ประเภทเดียวกัน เพราะช่วยให้บุหรี่มีราคาโดยเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าการแบ่งอัตราภาษีเป็นหลายขั้น ถึงร้อยละ 26 และจะช่วยให้รัฐบาลบรรลุวัตถุประสงค์ด้านรายได้และสาธารณสุขในการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ได้ดีกว่า
นอกจากการไม่บรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีและการควบคุมการบริโภคยาสูบที่ได้ติดตามประเด็นภาษียาสูบมาตลอด ก็เคยแสดงความเห็นเกี่ยวกับโครงสร้างภาษียาสูบที่เหมาะสมตามหลักวิชาการเอาไว้ยกตัวอย่าง เช่น รศ.ดร.ภัทรกิตติ์ เนตินิยมภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เผยแพร่รายงาน Cigarette Tax Scorecard (2020) ภายใต้โครงการในสังกัดมหาวิทยาลัยแห่งอิลลินอยส์ เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา(www.tobacconomics.org) ที่ได้รายงานผลการประเมินโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ 174 ประเทศทั่วโลก โดยใช้ข้อมูลการเก็บภาษีบุหรี่ขององค์การอนามัยโลก รายงานดังกล่าวให้คะแนนสูงกับประเทศที่มีโครงสร้างภาษีแบบอัตราเดียว มีการใช้ภาษีปริมาณมากกว่าภาษีมูลค่า และมีกลไกในการปรับอัตราภาษีตามกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งประเทศไทยสอบตกในเรื่องนี้ แม้ว่าไทยจะมีการขึ้นภาษีบุหรี่เฉลี่ยเป็นประจำทุก 3 ปี และมีการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน 2560 เพราะมีการใช้โครงสร้างภาษีบุหรี่แบบ 2 อัตรา ทำให้เกิดช่องโหว่ทางภาษี โดยเป็นการส่งเสริมให้บุหรี่ราคาถูก เช่น ยาเส้น บุหรี่เถื่อน หรือผู้ประกอบการหันมาแข่งขันลดราคาบุหรี่หรือผลิตสินค้าตัวใหม่ที่มีราคาถูกลง เติบโตมากขึ้น
ด้าน ศ.ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษียาสูบและได้รับทุนวิจัยเกี่ยวกับนโยบายภาษียาเส้นจากศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ก็สนับสนุนให้ปรับโครงสร้างภาษียาสูบใหม่ เพราะหากจะให้ใช้ภาษีตามมูลค่าอัตราเดียวที่ร้อยละ 40 ตามที่กำหนดจะใช้ในเดือนตุลาคม 2564 นี้จะยิ่งทำให้ปัญหาบุหรี่เถื่อนรุนแรงขึ้นแน่นอน เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ต่ำและสภาพเศรษฐกิจไทยที่ยังหดตัวต่อเนื่องในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้น ขอเสนอแนะต่อแนวทางการปรับนโยบายภาษีสรรพสามิตยาสูบเพื่อนำไปใช้ในการพิจารณาการวางแผนปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบใหม่ คือ การกำหนดโครงสร้างภาษีตามมูลค่าแบบอัตราเดียวที่ไม่สูงเกินไป ซึ่งสอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ดีและตามหลักสากล อีกทั้งจะช่วยลดการกระจุกตัวที่บุหรี่ราคา 60 บาท บรรเทาปัญหาสินค้าเถื่อน และส่งผลดีต่อการขายใบยาสูบของชาวไร่ยาสูบที่ขายให้กับการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) และผลการดำเนินงานของ ยสท. ด้วย เพราะสามารถกำหนดระดับราคาบุหรี่ได้หลากหลายและไม่ต้องให้มีภาระภาษีต่อซองสูงจนเกินไป
ศ.ดร.อรรถกฤต ได้ลองคำนวณอัตราภาษีที่น่าจะเหมาะสมสำหรับอัตราภาษีตามมูลค่าอัตราเดียวคือ อัตราร้อยละ 23 ซึ่งนอกจากจะช่วยทำให้สรรพสามิตเก็บรายได้
ภาษีสรรพสามิตยาสูบได้เพิ่มขึ้น เพราะเป็นการขึ้นราคาบุหรี่ที่ไม่สูงจนทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมไปหาของเถื่อนหรือยาเส้นแล้ว ยังทำให้สัดส่วนภาระภาษีอยู่ในระดับร้อยละ 70-75 ต่อราคาขายปลีกต่อซอง ซึ่งเป็นระดับที่องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม และแนวทางที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไปกับการขึ้นภาษีบุหรี่คือ กำหนดแผนขึ้นภาษียาเส้น โดยอัตราภาษียาเส้นควรอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราภาษีบุหรี่ เพื่อส่งผลให้สามารถควบคุมการบริโภคยาสูบได้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มรายได้รัฐตามมาด้วย
ทั้งความคิดเห็นจากฝ่ายสุขภาพ องค์กรระหว่างประเทศ และข้อเสนอแนะจากนักวิชาการด้านภาษี รวมทั้งแรงกดดันจากปัญหาบุหรี่เถื่อน น่าจะทำให้กรมสรรพสามิต และ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง นำไปเป็นข้อมูลเพื่อวางแผนขึ้นภาษีบุหรี่ในระยะยาว ที่สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภคและบริหารจัดการบุหรี่เถื่อนและบุหรี่ปลอมได้โดยเร็ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี