การคว่ำบาตร เป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่งในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือนัยหนึ่งการคว่ำบาตรเป็นกลไกสำคัญของนโยบาย และมาตรการการต่างประเทศของประเทศหนึ่งใดหรือกลุ่มประเทศ หรือแม้กระทั่งองค์การระหว่างประเทศที่จะใช้กับอีกประเทศหนึ่ง หรือกับกลุ่มประเทศหนึ่งที่มีพฤติกรรมอันไม่เป็นที่พึงประสงค์ในสายตาของประเทศที่ดำเนินการการคว่ำบาตร เพื่อแสดงความไม่พึงพอใจ และเพื่อเป็นการลงโทษ หรือบีบคั้นให้ยุติการกระทำที่ไม่พึงประสงค์นั้นๆ หรือกลับมาโอนอ่อนต่อข้อเรียกร้อง
โดยการคว่ำบาตรสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
1.การคว่ำบาตรแบบเฉพาะเจาะจง (Targeted Sanctions) ที่มุ่งตรงไปที่ตัวองค์บุคคล หรือกลุ่มบุคคล
2.การคว่ำบาตรเป็นการทั่วไป ที่ครอบคลุมไปทั้งประเทศ และกระทบต่อผู้คนของประเทศนั้นๆ
ในกรณีแรก การคว่ำบาตรก็มักจะมุ่งไปที่คณะรัฐบาล รวมทั้งเครือข่าย ครอบครัว และญาติมิตร เช่น การไม่ต้อนรับให้เข้าประเทศ หรือเมื่อเข้ามาแล้วก็ให้กลับออกไป การอายัดทรัพย์สินเงินตรา การตัดลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต เช่น การลดระดับของผู้แทนทางการทูต และการระงับ หรือยกเลิกการพบปะเจรจา หรือโครงการร่วมมือระดับรัฐบาลกับรัฐบาล เป็นต้น
ส่วนกรณีที่สอง เป็นการคว่ำบาตรทั้งประเทศและผู้คนพลเมือง เช่น การไม่ค้าขายต่อกันและกัน การยุติโครงการร่วมมือพัฒนา การตัดความสัมพันธ์ทางการทูต การอายัดบัญชีและทรัพย์สินของประเทศ การห้ามการข้องแวะในระดับประชาชน เช่น การท่องเที่ยวและการแลกเปลี่ยนทางด้านวัฒนธรรมต่างๆ
ตามความเป็นจริงแล้ว การคว่ำบาตรเฉพาะเป้าบุคคล มักจะเป็นการคว่ำบาตรเชิงสัญลักษณ์ ที่แสดงความไม่พอใจ ไม่รับรองผู้นำ และคณะรัฐบาลของประเทศนั้นๆ ซึ่งผู้ที่ถูกคว่ำบาตรก็มักจะไม่ได้รับความเดือดร้อนใดๆ เพราะมีทรัพย์สินหรือบัญชีธนาคารแอบหลบซ่อนอยู่ที่ประเทศอื่นๆ หรือยังพอมีประเทศอื่นๆ ที่ยังคบหาสมาคมได้ ไม่ได้มืดมนไปเสียหมด เช่น ในกรณีเมียนมา
ณ วันนี้ อาจจะมีการคว่ำบาตรเฉพาะแม่ทัพนายกองของเมียนมาที่ปฏิวัติยึดอำนาจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว บรรดาแม่ทัพนายกองก็ไม่ได้เดือดร้อนใดๆ ก็เพราะมีทางหนีทีไล่กันอยู่แล้ว กล่าวคือ ถึงสหรัฐฯ จะคว่ำบาตร แต่แม่ทัพนายกองก็ยังไปพึ่งพาจีน รัสเซีย และเพื่อนสมาชิกอาเซียนได้ เป็นต้น
ดังนั้น การคว่ำบาตรจึงต้องขยายไปที่ประเทศ และประชาชนทั้งหมด ด้วยความหวังว่าเมื่อได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตร ความยากไร้ และความไม่พึงพอใจที่เกิดขึ้น ก็จะนำไปสู่การประท้วงและการคว่ำคณะรัฐบาลของตนนั้นๆ
แต่การณ์ที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดกลับเป็นว่า ประชาชนพลเมืองในประเทศที่ถูกคว่ำบาตรจะหันมามองว่า ผู้ก่อปัญหาให้พวกเขานั้นมิใช่รัฐบาลอันเลวร้ายของตนอีกต่อไป แต่กลับเป็นประเทศที่ได้ทำการคว่ำบาตรประเทศของตนต่างหาก และบ่อยครั้งก็หันมากล่าวโทษประเทศผู้คว่ำบาตรต่อสภาพความยากไร้และตกต่ำของชีวิต อีกทั้งก่อให้เกิดสภาวะของความเป็นชาตินิยม นอกจากนั้นแล้ว ในความเป็นจริงเมื่อผู้คนต้องหาทางอยู่รอดให้ผ่านไปได้แต่ละวัน ก็มักจะไม่อยู่ในฐานะที่จะมีเรี่ยวแรง หรือมีกำลังจิตกำลังใจที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลของตนเอง
กล่าวโดยสรุปเป็นการทั่วไปว่า การคว่ำบาตรประเทศหนึ่งใดนั้น ผู้กุมอำนาจมักไม่ได้รับผลกระทบ และยังสามารถใช้การคว่ำบาตรเป็นเครื่องมือกลไกในการสร้างความเป็นชาตินิยม ประณามและต่อต้านประเทศผู้คว่ำบาตรได้อีกด้วย แต่ผลกระทบของการคว่ำบาตรนั้นแสนจะสาหัส และไร้ซึ่งมนุษยธรรมต่อประชาชนพลเมืองโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศคิวบา เวเนซุเอลา ซีเรีย ลิเบีย เยเมน อิรัก และอัฟกานิสถาน เป็นต้น ชีวิตมนุษย์จะอยู่กันได้อย่างไรถ้าขาดซึ่งน้ำกิน ข้าวขนมปัง ยารักษาโรค แม้กระทั่งสายยางและเข็มฉีดยา เป็นต้น
ยกตัวอย่าง เช่น ประเทศคิวบาที่ถูกสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตรมาร่วมกึ่งศตวรรษแล้ว ผู้คนโดยทั่วไปไม่มีของสมัยนิยมที่คนทั้งโลกเข้าถึงได้ แต่ชาวคิวบาก็ยังมีระบบการศึกษา และการแพทย์ที่ไม่เป็นรองใคร ในขณะที่ถูกกดให้อยู่ท่ามกลางความยากจน ซึ่งการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ นั้น มิได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สหรัฐฯ ประสงค์ หากแต่กลายเป็นการทำร้ายผู้คนของคิวบาอย่างต่อเนื่อง และหลายชั่วคนไปโดยปริยาย ซึ่งหากมองให้ลึกซึ้งแล้ว นโยบายและมาตรการทางการเมืองอย่างการคว่ำบาตรนั้น แท้จริงแล้วเป็นความโหดร้าย และเป็นอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติก็ว่าได้
โลกจะอยู่ได้ ก็ด้วยการพูดจา และเจรจากัน ความเห็นต่างต้องมีการปรับเข้าหากัน และยึดเอาสันติวิธีเป็นที่ตั้ง และการคำนึงถึงซึ่งคุณค่าและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์
ท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ท่ามกลางความมากมายมหาศาลของสิ่งจำเป็นในชีวิต แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นร้อยล้านคน ก็เป็นมนุษย์ที่ยังถูกต้องโทษด้วยเหตุผลของการขัดแย้งทางการเมือง และการเอาชนะกันด้วยการบ่อนทำลาย คว่ำบาตร ต่อกันและกัน โดยไม่คำนึงถึงชีวิตของคนตาดำๆ ทั้งหลาย ก็คงถึงเวลาแล้วที่ผู้สว่างไสวด้วยอำนาจ และอัตตายึดมั่นถือมั่นนั้นจะสว่างไสวในจิตวิญญาณด้วย โดยขั้นแรกก็คือการยุตินโยบายและมาตรการการคว่ำบาตรใดๆ ที่ประชาชนพลเมืองเป็นผู้รับเคราะห์กรรม
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี