รัฐบาลประยุทธ์ 1 และ 2 บริหารประเทศไทยมาร่วม 7 ปีแล้ว ซึ่งก็มักจะหายใจเข้า-ออกแต่ในเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยว เสมือนว่ารายได้จากการท่องเที่ยวเท่านั้นที่จะเป็นทางรอดให้กับประเทศไทย
แม้กระทั่งวันนี้ ที่เราตกอยู่ท่ามกลางความรุนแรง และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระยะเวลาของโรคระบาดโควิด-19 รัฐบาลประยุทธ์ก็ยังหายใจเข้า-ออกแต่ในเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ
โดยก่อนหน้านี้ ทางรัฐบาลได้กันงบประมาณกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวในปีนี้เอาไว้ 5,000 ล้านบาทภายใต้ชื่อโครงการเราเที่ยวด้วยกัน 3 แต่ก็มาโดนการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 โจมตีเสียก่อน จนต้องเลื่อนโครงการอย่างไม่มีกำหนด ภายใต้สภาวการณ์ของโรคระบาดโควิด-19 ที่ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายทาง
นั่นจึงมีคำถามตามมาว่า เมื่อเอางบประมาณนี้ไปใช้ไม่ได้ เหตุใดจึงไม่คิดจะเรียกเงินจำนวนนี้กลับคืนมา แล้วนำไปใช้กับเรื่องการรักษาพยาบาล การฉีดวัคซีน การจัดหายา และเครื่องมือเครื่องใช้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ไปจนถึงเตียงคนไข้ และการเร่งฝึกอบรมจัดหาบุคลากรให้ได้จำนวนมากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมสร้างความพร้อมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้แทน
ในทำนองเดียวกัน ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายรัฐสภาก็ต้องทบทวนด้วยว่า มีรายการงบประมาณใดที่การนำไปใช้นั้นยังไม่เหมาะสมกับสถานการณ์โควิด-19 ที่รุนแรงขนาดนี้ เพื่อจะได้นำมาใช้กับเรื่องสาธารณสุขที่ขาดแคลนอย่างหนัก จนประชาชนต้องช่วยเหลือโรงพยาบาล และภาครัฐกันเอง
อย่างไรก็ดี เรื่องการใช้งบประมาณที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ คงไม่พ้นที่จะต้องพูดเรื่องที่สังคมไทยผิดหวังกับการขอซื้อเรือดำน้ำจากจีนด้วย ซึ่งพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะแกนนำรัฐบาลผสม ได้ตัดสินใจที่จะชะลอการว่าจ้างจีน ในการสร้างเรือดำน้ำ 3 ลำ ซึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่ดี ช่วยเยียวยาจิตใจคนไทยได้บ้าง (แต่ถ้าให้ดีก็น่าจะเจรจาเสียค่าปรับ ค่าป่วยการ และล้มเลิกโครงการนี้ไปเสียเลย คนไทยจะยินดีกว่า) เพราะการมีเรือผิวน้ำที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพสูง ก็อาจจะมาใช้ทดแทนเรือใต้น้ำ หรือเรือดำน้ำนี้ได้ในสนนราคาที่ย่อมเยากว่า ทั้งนี้ ต้องคำนึงอยู่เสมอว่า ประเทศไทยมีสภาพเหมือนประเทศกึ่งถูกปิดกั้น (Semi-land lock) ทำให้การเข้า-ออกและการตั้งฐานทัพเรือดำน้ำก็ดูไม่ค่อยจะสะดวกและปลอดภัย
กลับมาที่การส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบในทางลบจากการท่องเที่ยวที่ขาดสำนึกรักษ์ธรรมชาติอย่างมหาศาล ซึ่งทำลายทั้งสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และการบ่อนทำลายสภาวะจิตใจ ประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม ซึ่งก็เป็นที่ประจักษ์กัน
ฉะนั้นก็ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องทบทวนเรื่องราวว่า การท่องเที่ยวไม่เป็นเสาหลักสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจไทย อาทิ การมุ่งที่คุณภาพมากกว่าการมุ่งที่ปริมาณ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือประเทศเล็กๆ2 ประเทศ คือ ราชอาณาจักรภูฏาน และสาธารณรัฐรวันดาที่ทวีปแอฟริกา ที่ปฏิเสธพลาสติกทุกชนิด และคิดค่าไปเยี่ยมชมลิงอุรังอุตังหัวละ 500 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ15,000 บาท เพื่อลดความล้นหลาม และปกป้องลิงอุรังอุตัง ซึ่งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน
นอกจากนั้น จากกรณีโควิด-19 ที่ทำให้การท่องเที่ยวชะงักงันไปทั้งโลก ได้แสดงผลให้เห็นกันชัดเจนว่า ทะเล ชายหาด พืชพันธุ์ ต่างได้รับการฟื้นฟูอย่างใหญ่หลวง เพราะมิต้องรับมือกับนักท่องเที่ยวอย่างหนักหน่วงดังเช่นในระยะหลายๆ สิบปีที่ผ่านมาแล้วทำไมเราถึงจะกลับไปทำลายชีวิตของสัตว์ พืชผลและธรรมชาติแวดล้อมด้วยการท่องเที่ยวแบบไร้สำนึกกันอีกเล่า
อย่าลืมว่า คนไทยเรามีสติปัญญา มีฝีไม้ลายมือ มีสถาบันการศึกษา มีกองทุนเพื่อการค้นคว้าวิจัยมากมาย และยังเป็นสังคมเปิด ที่ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์จะพึงสามารถเฟื่องฟู เบิกบานได้ ก็หมายความว่าไทยเรายังมีศักยภาพ และมีโอกาสที่จะทำมาหากินอื่นๆ ที่ไม่ต้องคิดพึ่งพาแต่การท่องเที่ยวแบบคิดตื้นๆ เฉพาะหน้าไปวันๆ หนึ่ง
ที่สำคัญ การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวและด้วยการบริโภคจับจ่ายใช้สอย เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ไม่ต้องการสติปัญญาและการบริหารจัดการที่ลึกซึ้ง เป็นการทำงานแบบเอาง่ายเข้าใส่ แต่สิ่งที่ควรจะคิดจะทำทั้งด้วยผู้นำฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการประจำ นักคิดนักวางแผน ก็คือเรื่องของการสร้างงานเพื่อสร้างรายได้ ซึ่งในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ก็ยังมีการพูดถึงการสร้างงานในกรอบของโครงการยักษ์ใหญ่ (ซึ่งจะใช้เครื่องมือเครื่องจักร เครื่องคอมพิวเตอร์ มากกว่าแรงงาน) โดยมีเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการเพิ่มการบริโภคดังกล่าวเป็นตัวนำ แต่แทบจะไม่เคยได้ยินได้ฟังว่า ภาครัฐและภาคเอกชนผ่านสมาคมอุตสาหกรรมและแขนงธุรกิจต่างๆ ได้มีความคิดอย่างไรในการสร้างงาน รวมทั้งการหางานอุตสาหกรรมใหม่ๆให้กับประเทศไทย เพราะอุตสาหกรรมที่มีมาหลายสิบปีนั้น บัดนี้ถูกย้ายออกไปยังประเทศใกล้เคียงเป็นส่วนใหญ่แล้ว เพราะค่าแรงเขาถูกกว่า และเสถียรภาพทางการเมืองด้วยระบบเผด็จการของเขามันเข้มข้นกว่า
ในขณะที่โลกทั้งโลกได้พูดเรื่อง BCG (Bio, Circular, Green) ก็มีคำถามว่า รัฐบาลไทย พรรคการเมืองไทย ข้าราชการไทย แวดวงวิชาการไทยสภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า สภาธุรกิจเฉพาะทางต่างๆ เหล่านี้ มีความคิดเห็นอย่างไร และจะร่วมกันกำหนดทิศทาง และวางแผนสร้างเศรษฐกิจชาติในรูปแบบใหม่กันเมื่อใดและอย่างไร การท่องเที่ยวก็สามารถเป็นส่วนของ BCG นี้ได้ แต่ผู้อยู่ในวงการท่องเที่ยวก็ต้องใช้ปัญญา แล้วอย่าเอาง่ายเข้าใส่
ทั้งนี้ งบฉุกเฉินกระตุ้นการท่องเที่ยว 5,000 ล้านบาท ที่ยังใช้งานไม่ได้ น่าจะเอาไปลงกับเรื่อง BCG ได้อย่างแน่นอนและจะเกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ต่อเศรษฐกิจไทยได้มากกว่าในระยะยาว
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี