วันพฤหัสบดี ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2569
การบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาล ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 และกระทรวงสาธารณสุขทำให้คนในสังคมไทยที่ต่างก็รู้สึกอึดอัดกับการถูกกดทับด้วยโครงสร้างที่มีจุดอ่อน และไม่เป็นธรรมมาเป็นเวลานานค่อยๆ ปะทุออกมา จนกลายเป็นกระแสการคอลเอาท์(call out) ที่กลุ่มคนหลากหลายอาชีพออกมาแสดงออก เพื่อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
เริ่มต้นด้วยกลุ่มแพทย์ พยาบาลและบุคลากรด้านสาธารณสุข ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าที่ทำหน้าที่กันอย่างเหน็ดเหนื่อยในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 มาตลอดตั้งแต่การระบาดระลอกแรกเมื่อต้นปี 2563 ร่วมกันลงชื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งนำเข้าวัคซีนชนิด mRNA ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโคโรนาชนิดกลายพันธุ์มาฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องแบกรับความเสี่ยงสูงที่สุด รวมทั้งนำเข้าวัคซีนดังกล่าวมาให้กับประชาชนเพื่อทำการสร้างภูมิคุ้มกันเป็นการเร่งด่วน
ขณะเดียวกันกลุ่มดารา เซเลบริตี้คนดังต่างก็พากันตบเท้าพาเหรดออกมาแสดงจุดยืน และแสดงความคิดเห็นในเชิงการตรวจสอบการทำงานรัฐบาล ก่อนจะมีข่าวตามมาว่ามีผู้ไปร้องขอให้มีการสอบสวนดำเนินคดีกับกลุ่มดาราผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้ในข้อหาเผยแพร่ข้อมูลที่มีการพาดพิงกับบุคคลทางการเมืองและรัฐบาล
ท่ามกลางสภาพสังคมที่กำลังเปราะบาง คนในประเทศกำลังเผชิญกับความยากลำบากจากโรคระบาดแบบนี้ รัฐบาลไม่ควรปล่อยให้เสียงเรียกร้องของประชาชนเหล่านั้น กลายเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ถูกทิ้งลงมาเพื่อทำให้คนในสังคมยิ่งแตกแยกและพังลง การตั้งป้อมมองว่าผู้เห็นต่างคือศัตรู อาจยิ่งทำให้เหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้
สิ่งที่รัฐบาลควรทำในขณะนื้คือการเปิดใจ เพราะก็ต้องยอมรับว่าข้อเสนอแนะบางส่วนก็ไม่ได้มีประเด็นทางการเมือง แต่เป็นการให้คำแนะนำหรือแสดงความคิดเห็น เพราะอยากเห็นการบริหารจัดการวิกฤติของประเทศดีขึ้น การรับฟังอย่างเป็นกลาง และกรองเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมาพัฒนาสานต่อ ก็น่าจะเป็นประโยชน์และช่วยลดแรงเสียดทานได้
เช่นกรณีการเคลื่อนไหวของบุคลากรทางการแพทย์ เรื่องวัคซีน mRNA รัฐบาลก็เพียงแค่ต้องสื่อสาร ชี้แจงถึงความคืบหน้าในการจัดซื้อจัดหา ไทม์ไลน์วัคซีนใหม่ที่จะเข้ามา รวมถึงแผนการกระจายวัคซีนที่โปร่งใส เน้นให้กับบุคลากรด่านหน้าและกลุ่มเสี่ยงก่อน พร้อมทั้งหาทางสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์
สำหรับกลุ่มเซเลบริตี้ผู้มีชื่อเสียงซึ่งก็ถือเป็นกระบอกเสียงของประชาชนส่วนหนึ่งในประเทศ การเคารพในความคิดเห็นหรือข้อติเตียนก็น่าจะช่วยลดความขัดแย้งและทำให้หาทางออกร่วมกันได้ ในที่สุด หากรัฐบาลสามารถทำความเข้าใจกับคนกลุ่มนี้ได้ ก็อาจจะเป็นโอกาสของรัฐบาลในการอาศัยความมีชื่อเสียงของกลุ่มคนเหล่านี้ในการเผยแพร่ข้อมูลของภาครัฐให้กับประชาชนได้รับทราบ
ประเทศไทยเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 มานานเกินไปแล้ว และดูเหมือนว่าผู้ป่วยที่เพิ่มจำนวนขึ้นเกิน 1 หมื่นคนต่อวันจะทำให้เป้าหมายในการก้าวพ้นวิกฤติของประเทศค่อยๆ ห่างออกไปทุกวัน การเปิดใจรับฟังคำวิจารณ์และแปลออกมาให้เป็นสิ่งที่รัฐบาลนำไปปรับปรุงได้ ก็จะทำให้รัฐบาลประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาและเรียกศรัทธาคืนกลับมาจากประชาชนได้อย่างสง่างาม ดีกว่าที่จะโยนฟางเส้นสุดท้ายลงไป แล้วมองดูซากของประเทศไทยที่เป็นผลมาจากความล้มเหลวในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน

'ดร.ส้ม' ลั่นไม่เคยเคลมผลงานใคร ยันลุยดัน กม.คุกคามทางเพศมาตั้งแต่ปี62
มีหนาว! คุกคามทางเพศผ่านโซเชียลมีเดีย มีผลบังคับใช้แล้ววันนี้
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ ฉบับใหม่ กำหนดคุณสมบัติต้องห้าม ผู้ใหญ่บ้าน
สุริยะใส ย้อนเกล็ด เลือกตั้ง ไม่เอาลุง ครั้งนี้ ไม่เอาเทา คงได้ รัฐบาลเทวดา
แฉทุนจีนแย่งอาชีพคนไทย รุกธุรกิจเผาถ่านกะลามะพร้าว ทำผู้ประกอบการไทยเดือดร้อน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี