“คอลเอาท์ (Call Out)” หรือการที่บุคคลผู้มีชื่อเสียง เช่น ดารานักร้อง-นักแสดง-พิธีกร ออกมาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างเปิดเผย เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ล่าสุดที่ผ่านมา โดยเฉพาะในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม กรณีที่ผู้ไปให้ข้อมูลกับตำรวจให้จับตากลุ่มคนดังเหล่านี้ กลับยิ่งเพิ่มอุณหภูมิความร้อนแรงทางการเมืองไทยโดยเฉพาะต่อรัฐบาลมากขึ้น
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ“เมื่อต้องพูดความจริงกับผู้มีอำนาจ การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและข้อมูลข่าวสาร ในห้วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย” โดยในงานนี้ คาเทีย ชิริซซี (Katia Chirizzi) รองผู้แทนข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบอาจถูกจำกัดในวิกฤติเช่นนี้ แต่รัฐยังต้องเคารพหลักการความชอบธรรมในกฎหมายต่างๆ โดยในสภาวะโรคระบาดเช่นนี้ ทุกคนควรได้รับข้อมูลและการรับมือต่อวิกฤติอย่างไม่มีข้อยกเว้น
“ในห้วงเวลาที่ไม่แน่นอน พลเมืองย่อมมีสิทธิที่จะแสดงความกังวลของตน ทุกคนต้องได้รับสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกต่อประเด็นต่างๆ ทั้งนี้ UN (องค์การสหประชาชาติ) ออกคำแนะนำต่างๆ ว่า กฎหมายอาญานั้นควรใช้ในกรณีที่รุนแรงอย่างที่สุดเท่านั้น เช่น การยุยงปลุกปั่นหรือจงใจสร้างความเกลียดชังอย่างรุนแรง และต้องไม่ใช้โรคระบาดเพื่อจำกัดความเห็นต่างจากประชาชน” คาเทีย กล่าว
อดีตพิธีกรที่ปัจจุบันผันตัวมาเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง “จอห์น” วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ เล่าว่า ตนเองเป็นคนหนึ่งที่เคยถูกแจ้งข้อหาดูหมิ่นพนักงานซึ่งเกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรี โดยมีการกล่าวว่าใช้คำหยาบคายและดูหมิ่นเจ้าพนักงาน แต่ที่น่าเป็นห่วงคือมีการใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชนไปจัดทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือไอโอ (Information Operation-IO) นำเสนอข้อมูลมุ่งโจมตีคนที่กำลังทำงานเพื่อสังคมหรือแม้แต่สื่อเอง
เช่นเดียวกับ อานนท์ ชวาลาวัณย์ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ โครงการอินเตอร์เนตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์- iLaw) กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นและมีคนวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐซึ่งบางครั้งอาจใช้ถ้อยคำหยาบคาย แต่ภาครัฐก็ควรนำเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้กลับไปทบทวนนโยบายของตน และควรเข้าใจว่าบางครั้งเมื่อประชาชนแสดงความโกรธที่ไม่ได้นำไปสู่ความเสียหายใหญ่โตหรือมีจุดประสงค์เพื่อโน้มน้าวให้คนเชื่อ การให้ข้อเท็จจริงอาจเป็นการบรรเทาสถานการณ์ความตึงเครียดได้มากกว่าการไปไล่ดำเนินคดี
มุมมองจากนักวิชาการ รศ.ดร.มุนินทร์ พงศาปาน คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นเรื่องน่าประหลาดใจมากที่ภาครัฐซึ่งสนับสนุนให้ทุกคนอยู่บ้านและลดการรวมตัวกันในที่สาธารณะ กลับมีการดำเนินคดีประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐ มีการส่งเจ้าหน้าที่ไปจับกุม ซึ่งก็ทำให้เจ้าหน้าที่มีความเสี่ยงติดโรคไปด้วย ถามว่าคุ้มกันหรือไม่เพราะในขณะเดียวกันรัฐเองก็ต้องการลดจำนวนผู้ติดเชื้อลง
ขณะที่ สัณหวรรณ ศรีสด นักกฎหมายจากคณะกรรมการนิติศาสตร์สากล (ICJ) กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ (UN) มีฎีกาต่างๆ ที่ใช้ในการตีความกฎหมายระหว่างประเทศเหล่านี้ โดยประเด็นที่น่าสนใจคือ“หากสาธารณชนมีการถกเถียงเกี่ยวกับบุคคลสาธารณะโดยคนทางการเมือง คนทางการเมืองต้องยอมรับว่าต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้มากกว่าบุคคลทั่วไป” อาจมีการใช้คำหยาบคายก็ไม่อาจให้โทษทางอาญาต่อประชาชนได้
“UN มองว่าบุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลสาธารณะที่ต้องได้รับการวิพากษ์ได้มากกว่าคนทั่วไป และอยู่ในจุดที่ยินยอมพร้อมใจที่จะถูกวิพากษ์มากกว่าบุคคลอื่น หากจะลงโทษต้องดูที่เจตนา ถ้าเป็นข้อความเท็จที่เผยแพร่โดยผิดพลาดหรือไม่มีเจตนาร้ายถือว่าไม่มีความผิด โดยเฉพาะช่วงมีโรคระบาดที่เป็นเรื่องปกติที่คนจะตระหนก ไม่ได้ต้องการก่อให้เกิดความเสียหาย จึงไม่ควรลงโทษ” สัณหวรรณ ระบุ
ด้าน วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า ประชาชนมีสิทธิแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะสถานการณ์โควิดที่ทุกคนเป็นห่วงสุขภาพและชีวิตของตน การปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นจึงเป็นสิ่งไม่สมควร การที่มีคนไปร้องทุกข์แจ้งความเพื่อจะดำเนินคดีกับประชาชนไม่ว่าจะด้วยข้อหาหมิ่นประมาทหรือนำเข้าข้อมูลเป็นเท็จใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือขัดต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คิดว่าประชาชนควรได้รับรู้ข่าวสารเพราะเป็นสิทธิด้านสุขภาพและสิทธิได้รับข้อมูล หากภาครัฐเกรงว่าประชาชนจะได้รับข้อมูลที่ผิดก็ต้องสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา
“ประชาชนมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความคิดเห็นต่อฝ่ายการเมืองซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนในการเข้ามาบริหารบ้านเมือง ฝ่ายการเมืองจึงควรรับฟังและคำความเห็นเหล่านี้ไปพิจารณาปรับปรุงตัวเอง การไปปิดกั้นจะทำให้เกิดผลกระทบต่างๆ ตามมา คือทำให้ประชาชนเซ็นเซอร์ตัวเอง ทำให้สังคมมืดบอด วันหนึ่งก็อาจปะทุขึ้นมาได้ ส่วนอะไรที่เป็นเรื่องเท็จ ไม่ถูกต้อง ก็สามารถชี้แจงและอธิบาย ดีกว่าไปปิดปากและใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อไปเล่นงานซึ่งจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตต่อสังคม” วสันต์ กล่าว
ปิดท้ายด้วย ภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ชี้แจงว่า ความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จะต้องเข้าองค์ประกอบดังนี้ 1.เป็นการเข้าถึงระบบโดยมิชอบหรือเจาะระบบ2.การเข้าถึงข้อมูลโดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหาย3.การนำเข้าซึ่งข้อมูลบิดเบือน เป็นเท็จบางส่วนหรือทั้งหมดที่กระทบต่อประชาชน โครงสร้างพื้นฐานและความมั่นคงปลอดภัยของประชาชน
ทั้งนี้ ปัจจุบันโลกออนไลน์ที่ปัญหาข่าวปลอม(เฟคนิวส์-Fake News) มาจากการที่มีเสรีจนเกินไป เช่น สามารถสมัครเฟซบุ๊คโดยใช้ตัวตนปลอมก็ได้ นอกจากนี้ประชาชนบางกลุ่มก็ยังไม่เท่าทันข่าวปลอม ทุกภาคส่วนต้องช่วยประเด็นนี้ด้วยกันเพื่อสร้างองค์ความรู้ต่อประชาชน อย่างไรก็ตาม หากข่าวปลอมเกิดจากงานราชการเองแต่ละหน่วย คือ กระทรวง ทบวง กรม ก็มีหน้าที่ไปชี้แจงเองให้เป็นข่าวที่ออกมาจากภาครัฐ แต่หากเป็นข่าวที่มาจากสังคม สื่อมวลชน วิชาการ ก็ต้องให้แต่ละฝ่ายออกมาชี้แจงและทำความเข้าใจด้วยตนเอง
“การจะเช็คข่าวใดๆ ก็ตามที่ประชาชนมองว่ายังคลุมเครือนั้นสามารถเช็คได้ที่ศูนย์ข่าวปลอม ทั้งนี้ ให้ประชาชนพิจารณาว่า บางข่าวนั้นแชร์ไปแล้วจะเกิดประโยชน์หรือไม่ หากไม่เกิดประโยชน์ก็แนะนำให้ไม่แชร์ดีกว่า”รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี