ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีการกำหนดวันในวันที่ 31 ส.ค. -2 ก.ย. 2564 นี้ โดยมีรายชื่อ ครม. 5 คนที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือนายกฯประยุทธ์ รองนายกฯอนุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นการอภิปรายในเรื่องของการบริหารสถานการณ์โควิด-19 และพาดต่อไปเรื่องการเมืองจากการชุมนุม
ยิ่งใกล้วันอภิปรายฯ ความรุนแรงบนท้องถนนกลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เห็นได้จากความพยายามให้เกิดการปะทะของกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณแยกดินแดงที่เพิ่มระดับความถี่ และความรุนแรงของระเบิดมากขึ้น โดยได้เห็นภาพที่มากกว่าประทัดยักษ์ หรือพลุไฟ เริ่มมีการยกระดับเป็นการประดิษฐ์อาวุธระเบิดเองในลักษณะของไปป์บอมบ์ที่ตำรวจสามารถตรวจยึดได้ก่อนมีการก่อเหตุ ซึ่งก็ทำให้สังคมตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงปล่อยให้มีการชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงยืดเยื้อกว่า 20 วันแล้วที่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถจัดการให้เด็ดขาดได้ เพราะประชาชนหลายส่วนก็มองว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่แยกดินแดงไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ตามสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่เป็นการจงใจสร้างความไม่สงบในประเทศ
ดูไปดูมาก็นึกถึงคำของแกนนำบางคนที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ในทำนอง พลเอกประยุทธ์จะอยู่ลำบากในเดือนสิงหาคม หากแต่มีความรุนแรงจริงและต่อเนื่องรายวันจริง แต่รัฐบาลกลับควบคุมสถานการณ์ และอดทนอดกลั้นไม่เล่นตามบทยั่วยุ จนทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมทวีความรุนแรงมากขึ้น มีการจับอาวุธได้ มีภาพถ่ายและคลิปวีดีโอ มีคำให้การให้ผู้ชุมนุม อะไรหลายอย่างที่ถูกเผยแพร่ออกมา จนสังคมเริ่มรับไม่ได้ และในที่สุด แกนนำม็อบฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ทั้งกลุ่มไทยไม่ทน กลุ่มคณะราษฎร กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ก็มีความพยายามในการแยกตัวออกมาแทนหลังจากเริ่มรู้แล้วว่าภาพที่ออกมาไม่น่าจะเป็นบวกเท่าไร ไม่เว้นแต่เหล่าบรรดา สส. นักการเมืองที่เคยสนับสนุนก็ต่างหนีหายไปด้วย แต่การเคลื่อนไหวกลับไม่จบ มีคำถามมากมาย ว่ากลุ่มนี้ที่เริ่มตั้งแต่ต้นเดือน ทั้งนายณัฐวุฒิหรือคนอื่นๆ จนถึงทุกวันนี้ เดินด้วยกลุ่มทุน ของใครและเกี่ยวโยงกับใครบ้าง
นอกจากสภาแล้ว การชุมนุมแล้ว การโจมตีในโซเชียลเพื่อปลุกกระแสคนให้ต่อต้านรัฐ ช่วงนี้ก็หนักเช่นกัน หากแต่อาจจะเดินเลยไปหน่อยที่วันนี้แม้กระแสการชุมนุมจะยังแตะไปไม่ถึงการดึงคนมาเข้าร่วมจำนวนมากแบบปีก่อน ที่ทุกครั้งเมื่อคนเริ่มมากขึ้นระดับหนึ่งก็จะออกมาพูดเรื่องปฏิรูปสถาบันทุกรอบไปหากแต่รอบนี้การปลุกปั่นกระแสการชุมนุมยังไม่ถึงจุดที่มีผู้เข้ามาร่วมมากแต่ก็ออกมาเคลื่อนไหวเดินหน้าเรื่องการปฏิรูปสถาบันฯ อย่างต่อเนื่องผ่านทางเพจต่างๆ รวมถึง ilaw เชื่อมต่ออย่างบังเอิญกับการเดินเกมตั้งแต่การอภิปรายงบประมาณของ สส. ฝ่ายค้าน รวมถึงการเคลื่อนไหวเรื่อง มาตรา 112 ของแกนนำม็อบทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่บางคนที่เดินหน้าเรื่องงบสถาบันฯมาอย่างต่อเนื่องและกลับมาเดินเกมต่อในตอนนี้ แต่ดูเหมือนในช่วงสองวันที่ผ่านมากระแสของสังคมดูจะย้อนกลับไปปลุกกระแสผู้คนที่รักสถาบันฯให้ออกมาแสดงตัวมากขึ้น จึงทำให้ดูเหมือนจังหวะตามแผนการต่างๆ ที่วางไว้ดูจะผิดคิวไปเสียหมด รวมถึงผลการโหวตอภิปรายงบประมาณฯที่ผ่านมาที่นอกจากจะพบการแสดงความเห็นขัดแย้งของพรรคร่วมฝ่ายค้านเองแล้ว รัฐบาลก็ยังควบคุมคะแนนเสียงในสภาได้ดีกว่าที่คิดด้วยขณะที่ฝ่ายค้านเองที่เสียงแตก จึงยากที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นนี้ หากไม่มีหลักฐานเด็ดๆ ตรงๆ จริงๆ ก็ยากที่จะทำอะไรรัฐบาลได้ ประกอบกับสถานการณ์โควิดที่ดูเหมือนรัฐบาลจะเริ่มควบคุมตัวเลขทั้งผู้ติดเชื้อให้ลดลงได้แล้ว ขณะที่เร่งสปีดยอดฉีดวัคซีนต่อวันให้สูงกว่าค่ากลางที่ตั้งไว้มากขึ้นทุกวัน ซึ่งคาดว่าในเดือนกันยายนตัวเลขน่าจะลดลงแต่จะถึงขั้นผ่อนคลายมาตรการหรือไม่นั้นคงต้องดูกันต่อไป
ขณะที่ไทยกำลังวนเวียนอยู่กับเรื่องของความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศ สิ่งที่รัฐบาลอาจหลงลืมไปคือปัญหาการเมืองระหว่างประเทศในทะเลจีนใต้ที่กำลังคืบคลานเข้ามาถึงประตูบ้านแล้ว การขยับตัวของรองประธานาธิบดีสหรัฐ ที่เดินทางมาเยือนเวียดนาม สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ซึ่งต่างเป็นประเทศที่กำลังมีส่วนในปัญหาข้อพิพาททะเลจีนใต้ และเป็นคู่ขัดแย้งหรือผู้เกี่ยวข้องกับผู้ขัดแย้งของจีนในขณะนี้น่าคิดว่าการถอนทหารในพื้นที่อัฟกานิสถานของสหรัฐฯเพื่ออะไรกันแน่ เพราะเมื่อ 20 ปีก่อน ที่สหรัฐชักชวนมิตรประเทศบุกอัฟกานิสถาน โดยอ้างสันติภาพแต่มาวันนี้ถอนตัวอย่างกะทันหัน จุดยืนอยู่ที่อะไรกันแน่ และมีคนตั้งข้อสังเกตถึงเป้าหมายใหม่ของสหรัฐในตอนนี้ว่าอยู่ที่ใด
ซึ่งความสนใจของอเมริกาน่าจะเป็นสิ่งที่อเมริกาเคยประกาศไว้ว่าภัยคุกคามล่าสุดคือการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในพื้นที่เอเชีย และทะเลจีนใต้ ยุทธศาสตร์อินโดจีนของสหรัฐที่ริเริ่มตั้งแต่สมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงอยู่ต่อไป เพียงแต่รัฐบาลของไบเดนมีความแนบเนียนในการเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศมากกว่า ดังนั้นการส่ง รอง ปธน. กมลา แฮร์ริส เดินทางมายังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบบเฉพาะประเทศก็เพื่อแสวงหาพันธมิตรในการดำเนินยุทธศาสตร์นี้หรือไม่
ซึ่งส่งสัญญาณว่าการแทรกแซงการเมืองระหว่างประเทศในทะเลจีนใต้หลังจากนี้จะเข้มข้นมากขึ้น ทั้งในรูปของการสนับสนุนด้านการเงินแก่ชาติพันธมิตร หรืออาจไปถึงการส่งกำลังทหารเข้ามาในพื้นที่พิพาท เพื่อคานอำนาจไปจนถึงก่อสงครามหรือไม่?เพราะในขณะนี้งบประมาณที่เคยถูกใช้ไปกับสถานการณ์ในพื้นที่อัฟกานิสถาน และตะวันออกกลางได้ถูกดึงกลับมา เครื่องมือของสหรัฐฯในตอนนี้ คือพลังอำนาจทางการทหาร และการทูตผ่านวัคซีน ที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเดินหน้าให้หลายประเทศต้องถูกบีบให้เข้าสู่เกมเลือกข้างทางการเมืองไม่นานหลังจากนี้
ซึ่งไม่รู้ว่าการเลือกเยือน 3 ประเทศดังกล่าวจะเกี่ยวข้องมากน้อยอย่างไร แต่ก็มีข่าวปรากฏแล้วว่าไม่กี่เดือนที่ผ่านมาสิงคโปร์ได้ตัดสินใจจัดซื้อยุทโธปกรณ์ลอตใหญ่จากสหรัฐฯ มีมูลค่ากว่า 8.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 255 ล้านล้านบาทและมีการสั่งซื้อเรือดำน้ำจากประเทศอื่นเพื่อพัฒนาศักยภาพทางการทหารอีกกว่า 4 ลำเป็นอย่างต่ำ ซึ่งก็สอดคล้องกับท่าทีของสหรัฐฯที่มีการประกาศว่าจะมีการรื้อฟื้นกองเรือที่ 1 มีพื้นที่รับผิดชอบในพื้นที่เอเชียแปซิฟิกที่เคยยุบไปแล้วให้กลับมามีบทบาทอีกครั้ง ซึ่งหนึ่งในพื้นที่ที่สหรัฐวางแผนไว้อยู่ระหว่างการตัดสินใจเลือกฐานที่ตั้งกองเรือคือสิงคโปร์ โดยในกองเรือที่ 1 จะประกอบด้วยเรือรบ 60-70 ลำ รวมถึงฝูงเรือดำน้ำด้วย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงภาพที่เคยเห็นที่อัฟกานิสถาน ก็อาจจะมาโผล่แถวนี้ก็ได้ นี่ยังไม่นับรวมท่าทีของฟิลิปปินส์และเวียดนามว่าจะมีนโยบายอย่างไรต่อไปหลังรองประธานาธิบดีสหรัฐกลับไปแล้ว
ทำให้นึกถึงวิกฤตการณ์คิวบาสมัยสงครามเย็นที่มีการแข่งขันในการสะสมอาวุธและวางอาวุธในพื้นที่ยุทธศาสตร์ต่างๆเพื่อแสดงแสนยานุภาพทางการทหาร และการสร้างสงครามในเชิงจิตวิทยา และหากอีกสองประเทศที่มีการเดินทางมาเยือนมีการสั่งซื้ออาวุธเพิ่มเติมด้วยเรื่องนี้ก็จะเข้ามาถึงไทยในไม่ช้าอย่างแน่นอน ในฐานะพี่ใหญ่ลำดับต้นๆของอาเซียน ไทยก็มีบทบาทมากพอในการชักจูงชาติสมาชิกต่างๆให้มีแนวทางในการตัดสินใจร่วมกันในการเผชิญข้อพิพาททะเลจีนใต้ ซึ่งที่ผ่านมาแม้อเมริกาในฐานะชาติพันธมิตรจะออกห่างจากไทยไปบ้าง แต่ก็เห็นได้จากการสนับสนุนวัคซีนทางการทูตว่าสหรัฐยังมองว่าไทยเป็นจุดสำคัญในพื้นที่อาเซียนและอาจมีบทบาทในการร่วมเป็นพันธมิตรในการต้านจีน
ด้วยสถานการณ์ที่รุมเร้าแต่ไทยต้องไม่ลืมว่าบทบาทของไทยตลอดจนภาวะผู้นำของรัฐบาลต้องมองให้ไกลกว่าที่คิดไว้ เพราะท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ทะเลจีนใต้หากไทยมีการเตรียมการที่ดีถึงบทบาทท่าที ก็อาจทำให้ไทยไม่เสียประโยชน์และอาจได้ประโยชน์จากความวุ่นวายดังกล่าวด้วย เห็นได้จากการปิดดีลเรือดำน้ำในรอบที่ผ่านมา ไม่รู้ว่ามีการเจรจาเบื้องหลังหรือไม่? แต่ที่ต้องคิดต่อคือสหรัฐฯพึงพอใจกับเรื่องดังกล่าวไม่น้อยหรือไม่ และเพิ่มการสนับสนุนวัคซีนให้อย่างต่อเนื่อง รัฐบาลในขณะนี้รับศึกหลายด้าน ทั้งโควิด-19 และความขัดแย้งภายในประเทศ แต่ที่ต้องมองให้ขาดคือภาพการเมืองโลกที่ล้อมไทยอยู่ว่าบทบาทของไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป และอาจจะมีทางออกของหลายปัญหาผ่านกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศก็เป็นได้.....
ฆ่าคนต้องทันเวลา... พอโอกาสผ่านพ้น เรื่องราวและผู้คนเปลี่ยนแปร สถานการณ์ก็ไม่ถูกต้องอีกแล้ว...เป็นดั่งการดื่มสุรา ดื่มสุราต้องทันเวลา หากแม้ท่านเก็บสุราจอกนี้ไว้ดื่มในภายหน้า...มันก็จะแปรรสเป็นเปรี้ยวไปได้
โกวเล้ง ไม่มีน้ำตาวีรบุรุษ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี