นายประเสริฐ จันทรรวงทอง สส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ว่า ไร้ภูมิปัญญาไร้ความสามารถไร้จิตสำนึก ไร้ความสามารถที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาลต่อไป
การสื่อสารล้มเหลว ยกตัวอย่างปฏิบัติการสายด่วนของท่านล้มเหลวไม่เป็นท่า ประชาชนต้องนอนรอความตายอยู่บ้าน เช่นเดียวกับแอปหมอพร้อมที่เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนฉีดวัคซีนแต่เมื่อถึงวัดนัด แต่ถูกเลื่อนอย่างไม่มีกำหนด กลายเป็นผู้นำที่กลืนน้ำลายตัวเองไม่เคยพูดความจริงกับประชาชน นายอนุทิน ชาญวีรกูลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเผยให้สัมภาษณ์ ว่า “โควิดเป็นโรคหวัดโรคหนึ่ง” และยังให้สัมภาษณ์อีกเมื่อวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า “วัคซีนAstraZeneca ที่ผลิตในประเทศ อยู่เต็มแขนของพี่น้องคนไทยแล้ว” ทั้ง พลเอกประยุทธ์และนายอนุทิน มีความเกี่ยวพันกันในอำนาจหน้าที่ร่วมกันหาวัคซีนที่ไม่มีประสิทธิภาพมีราคาแพงมาฉีดให้คนไทยเพื่อหาผลประโยชน์ ปิดกั้นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะไม่มีตังค์ทอน บริหารผิดพลาดมี
คนตายวันละ 300 คน เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าขาดซึ่งองค์ความรู้ไร้ซึ่งภูมิปัญญา มุ่งหาผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง มีพฤติกรรมค้าความตาย
“เมื่อมาตรการควบคุมโรคไร้ทิศทาง ผลที่ตามมาคือสิ่งที่กระทบกับพี่น้องประชาชนภาคธุรกิจมาตรการของรัฐการล็อกดาวน์การปิดกิจการไม่มีการวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสีย ผลกระทบด้านต่างๆ ไม่มีมาตรการรองรับ ปล่อยให้ธุรกิจล้มตายตามยถากรรม ธุรกิจเอสเอ็มอีไปไม่รอด การดำเนินชีวิตของประชาชนเป็นไปด้วยความยากลำบาก ประชาชนตกงานกลับไปดิ้นรนที่บ้านเกิดไม่มีรายได้ ข้อกำหนดที่นายกฯให้มาหลายครั้ง ไม่สามารถหยุดโรคได้แต่อย่างใด โครงการที่ชื่นชมนักหนาอย่างเช่น ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ก็ล้มไม่เป็นท่า”
นายประเสริฐ อภิปรายถึงความล้มเหลว 4 ด้าน ว่า1. ความล้มเหลวด้านการควบคุมโรคระบาด ความประมาทคิดว่าตัวเองแน่ ตั้งแต่การระบาดตั้งแต่ปี 2563 ท่านไม่ประเมินผล ไม่ประเมินการสั่งการของตัวเอง มีการระบาดคลัสเตอร์ใหญ่ถึง 4 ครั้ง นายอนุทินกลับไม่กวดขัน ไม่รอบคอบ จนทำให้ระบบสาธารณสุขล้มเหลวและโยนความผิดให้กับประชาชน
2. การจัดหาวัคซีนผิดพลาดล้มเหลว จัดซื้อล้มเหลวจัดหาล้มเหลว วางแผนการจัดหาก็ล้มเหลว ไม่ขวนขวายหาวัคซีน และไม่เตรียมหาวัคซีนทางเลือกตั้งแต่ต้น วัคซีนซิโนแวคเป็นวัคซีนที่ไม่มีประสิทธิผลสูง ในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่กลายพันธุ์เป็นเดลต้าแล้ว แต่ยังมีการสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ต้องมี 70 เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ถึง ไม่สามารถสร้างภูมิได้เลย รวมถึงผิดพลาดที่ไม่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ ซึ่งหากเข้าร่วมจะทำให้ประเทศมีความมั่นคงด้านวัคซีน ประเทศอาเซียนเขาเข้าโครงการโคแวกซ์ หมดแล้ว และได้รับการสนับสนุนวัคซีน 33 ล้านโดส มีเพียงประเทศไทยที่ผิดพลาด
“พล.อ.ประยุทธ์ เจตนาที่จะไม่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวตั้งแต่ต้น อ้างเหตุต่างๆ นานา เหตุผลทั้งหลายฟังไม่ขึ้น ไม่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ เพราะไม่มีตังค์ทอน พลเอกประยุทธ์ทำให้ประเทศเสียหายโดยรู้เห็นเป็นใจกับนายอนุทิน ตนมีหลักฐานเป็นข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่ให้นโยบายต่อกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงต่างประเทศ ในการไม่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ โดยระบุว่า วัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะ ซึ่งเป็นการมุ่งให้ไทยเป็นฐานผลิตส่งออกไปขายทั่วโลก ที่จะคำนึงถึงชีวิตของประชาชนก่อน แต่มองว่าการที่ประเทศไทยมีโรงงานต่อไปในอนาคตจะสามารถทำกำไรและเป็นสินค้าสาธารณะได้ นี่คือข้อผิดพลาดในการไม่เข้าร่วมโครงการ ทำให้ประเทศขาดวัคซีน อีกทั้งยังเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของเอกชนกีดกันไม่ให้ภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนทางเลือกตั้งแต่ไปปี 2563 จนถึงปัจจุบัน แต่ภายหลังต้านกระแสความรู้สึกของประชาชนไม่ได้จึงทำทีเปิดโอกาสให้เอกชนนำเข้าวัคซีนได้ เองแต่ติดปัญหาอุปสรรคหลายเดือน 3. การกระจายวัคซีนล้มเหลว เป็นวัคซีนการเมือง มั่วไม่เป็นระบบ บางพื้นที่สีแดงเข้มกลับไม่ได้รับการฉีดแบบเร่งด่วน และ 4. การบริหางานในสถานการณ์วิกฤติแต่บริหารเหมือนสถานการณ์ปกติ ตัดสินใจเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา”
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า พบพฤติกรรมที่ส่อว่าทุจริต และมีเงินทอน โดยได้นำเอกสารที่ระบุว่าได้มาจากข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข และเอกสารที่ระบุไว้ในบันทึกการประชุมของกรรมาธิการ(กมธ.) การคุ้มครองผู้บริโภค สภาฯ แสดงประกอบการอภิปรายว่ารัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค จำนวน 5 ครั้ง โดย ครม. อนุมัติวงเงินจัดซื้อที่ 17 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อหนึ่งโดสทุกครั้ง แต่พบว่าทุกครั้งบริษัทที่จำหน่ายวัคซีนให้นั้น ได้ลดราคาให้ต่อเนื่อง โดยครั้งที่สอง บริษัทขายวัคซีนที่ 15 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ, ครั้งที่สามขายให้ 14 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ, ครั้งที่สี่ ขายให้ 9.5 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ และครั้งที่ห้าขายให้9 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ เมื่อรวมราคาที่ครม. อนุมัติ รวม 331 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาท คือ 10,846 ล้านบาท แต่ราคาที่จัดซื้ออยู่ที่ 267 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 8,748 ล้านบาท ดังนั้น ค่าส่วนต่างที่มี คือ 2,098 ล้านบาท พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ต้องชี้แจงว่าเงินทอน หรือค่าส่วนต่างอยู่ที่ไหน พร้อมนำเอกสารมาชี้แจงต่อสภาฯ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าตั้งใจโกง
นายประเสริฐ อภิปรายขยายความด้วยว่า การนำเข้าวัคซีนยี่ห้อเดียว คือ ซิโนแวค ถือเป็นวัคซีนเส้นใหญ่ เลี่ยงใช้การจัดซื้อจัดจ้างตามกฎหมาย เพราะใช้พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นฉากบังหน้า นอกจากนั้นยังพบว่าการจัดซื้อซิโนแวคเป็นการจัดซื้อแบบเชิงพาณิชย์ ไม่ใช่การซื้อแบบรัฐต่อรัฐ แม้ไม่มีตัวแทนจำหน่ายในเมืองไทย แต่พบว่ามีนายหน้า มีเงินทอนทำให้การนำเข้าวัคซีนคุณภาพต่ำ เพราะไม่มีหลักฐานวิชาการอ้างอิง อีกทั้งองค์การอนามัยโลกไม่รับรอง และมีหลายหน่วยงานทักท้วงต่อการจัดซื้อวัคซีนที่ต้องมีคุณภาพ นอกจากนั้นยังพบว่า การจัดซื้อมีราคาสูง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น เช่น บราซิล, อินโดนีเซีย
“มีหลายหน่วยงานที่ทักท้วงต่อการจัดซื้อ แต่ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างแท้จริง ทำให้การจัดหาจัดซื้อวัคซีนไม่โปร่งใส เป็นวัคซีนสายสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจกับบริษัทที่ขายวัคซีนซิโนแวคให้กับประเทศไทย เป็นเหลนของเจ้าสัวใหญ่ของเมืองไทย และบริษัทในเครือเจ้าสัวได้ออกแถลงการณ์ว่า การจัดซื้อซิโนแวคไม่มีเกี่ยวข้องกับบริษัท เพราะเป็นการจัดซื้อแบบจีทูจี ระหว่างทางการไทยและบริษัทที่ขายวัคซีนซิโนแวค”
นายประเสริฐ อภิปรายทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ตนขอกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ต่อตำแหน่งราชการ ไม่ซื่อสัตย์ รวมถึงร่วมจัดหาจัดซื้อวัคซีนไม่โปร่งใส แสวงหาประโยชน์บนความตายและกีดกันวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ผูกขาดตัดตอนให้มีวัคซีนยี่ห้อเดียว เอื้อประโยชน์ให้เอกชน ทำให้วัคซีนขาดแคลน ดังนั้นขอให้พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ลาออก ตามข้อเรียกร้องของประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการอภิปรายของนายประเสริฐ มีการกล่าวพาดพิงถึงองค์กร และบุคคลภายนอก รวมถึงพูดถึงคุณภาพของวัคซีนซิโนแวคหลายครั้ง ทำให้นายศุภชัย ใจสมุทร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วงว่า อาจทำให้เกิดความเสียหาย และขัดข้อบังคับการประชุม อีกทั้งการด้อยค่าวัคซีนอาจทำให้ประชาชนที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคไปแล้วเกิดความเข้าใจผิด และหวาดกลัว
ต่อมานายศุภชัย ใจสมุทร สส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย นำผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขแถลงชี้แจง ดังนี้
1) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยนำวัคซีนซิโนแวคเข้ามาใช้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 ขณะนั้นวัคซีนได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) เรียบร้อยแล้ว โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่งจากข้อมูลการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงขลาศรีนครินทร์ พบว่าวัคซีนสามารถลดการระบาดของโรคได้ และพบว่าวัคซีนซิโนแวคช่วยลดการติดเชื้อและความรุนแรงของโรคที่ระดับ 70-80% ขึ้นไปปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่าไม่มีวัคซีนตัวใดที่สามารถป้องกันโรคโควิดได้ 100% ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนซิโนแวคหรือวัคซีนไฟเซอร์ก็ตามทั้งนี้ประเทศไทยก็มีการพัฒนาสูตรฉีดวัคซีนที่เรียกว่า สูตรไขว้ โดยใช้วัคซีนซิโนแวคเป็นเข็มหนึ่งและวัคซีนแอสตราเซเนกาเป็นเข็มสองและพบว่าสามารถสร้างภูมิคุ้มกันในระดับที่สูงเทียบเท่ากับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาสองเข็ม แต่ข้อดีคือฉีดได้เร็วขึ้นและภูมิคุ้มกันมากขึ้น ฉะนั้น ข้อกล่าวหาดังกล่าวจึงไม่เป็นความจริง ทั้งนี้นักวิชาการจากหลายที่มีหลักฐานยืนยันตรงกันว่าวัคซีนสูตรไขว้ซิโนแวคกับแอสตราเซเนกามีประสิทธิภาพ จึงเป็นเหตุผลที่กระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรคพยายามจัดหาวัคซีนที่ค้นหาได้มาให้กับประชาชนอย่างทันเวลา
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกขณะนี้ก็ได้สั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคจำนวนหลายร้อยล้านโดส เพื่อฉีดให้กับประชาชนทั่วโลก จึงเป็นตัวยืนยันว่าวัคซีนซิโนแวคมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงต้นการระบาดที่ผ่านมา แม้ขณะนี้จะมีการระบาดสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งทำให้วัคซีนทุกตัวมีประสิทธิภาพลดน้อยลง แต่เราก็ยังหาวิธีการฉีดวัคซีนแบบไขว้ที่ทำให้ประชาชนได้รับภูมิคุ้มกันที่รวดเร็วขึ้น ยืนยันว่าวัคซีนซิโนแวคมีประสิทธิภาพ ขอความกรุณาอย่าด้อยค่าวัคซีนซิโนแวค เพราะวัคซีนตัวนี้ช่วยเราตั้งแต่ต้นปี ทำให้เราดูแลการระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี และจะพยายามเร่งสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน ส่วนเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย โดยเฉพาะพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง ฉะนั้นข้อกล่าวอ้างที่บอกว่าไม่เป็นไปตามกฎหมายจึงไม่เป็นความจริง
2) นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวถึงกรณีที่ สส.อภิปรายว่า องค์การเภสัชฯ เป็นนายหน้าขายวัคซีนให้กับบริษัทซิโนแวค ในช่วงการแพร่ระบาดตอนแรก องค์การเภสัชฯ ไม่ได้เป็นผู้จัดซื้อโดยตรง แต่เป็นบริษัทลูกแห่งหนึ่งทำหน้าที่ แต่ทางการจีนไม่ยอม จึงเป็นเหตุให้องค์การเภสัชฯ ต้องไปติดต่อเอง โดยก่อนหน้านี้ได้เป็นผู้ดำเนินการจัดหาวัคซีนคู่ประสาน ทั้งวัคซีนซิโนฟาร์ม และซิโนแวค ซึ่งซิโนฟาร์มติดขัดปัญหามาก แต่ว่าซิโนแวคมีความยืดหยุ่นกว่า เราจึงต้องทำงานแข่งกับเวลา จึงเลือกซิโนแวคเพื่อให้คนไทยได้ฉีดวัคซีนระหว่างรอวัคซีนแอสตตราเซเนกา ส่วนเรื่องราคามีการนำเข้า 16 ช่วง ซึ่งจะมีราคาที่แตกต่างกันไปแต่ละช่วง ตั้งแต่ 17 เหรียญดอลลาร์ จำนวน 2 ล้านโดส แต่ในเวลาต่อมาเราก็ซื้อในราคาถูกเป็นลำดับ เพราะมีการต่อรองราคา จนมาถึงราคาสุดท้าย 8.9 เหรียญดอลลาร์ เฉลี่ยราคา 11.99 เหรียญดอลลาร์ ส่วนที่มีการอภิปรายว่ามีส่วนต่างจำนวนมาก ของชี้แจงว่า มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างมาก เพราะเราได้ใช้เงินองค์การเภสัชฯ จัดซื้อไปก่อนจำนวนหลายพันล้านจากนั้นเมื่อได้ของแล้ว ก็กำหนดราคาขาย ซึ่งเราต้องแบกรับอัตราแลกเปลี่ยน ยืนยันว่า ไม่มีส่วนต่าง กรอบการอนุมัติเป็นการขอเผื่อไว้ แต่เมื่อมีการเรียกเก็บก็เก็บราคาตามจริง โดยบวกค่าดำเนินการ ค่าขนส่ง 2-4% และส่วนต่างที่เหลือไม่มีใครได้แน่นอน 100% ซึ่งงบประมาณตรงนี้กรมควบคุมโรคเป็นผู้ดูแล และมีการเบิกจ่ายตามจริง
3) นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีน ระบุถึงสัญญาการจัดซื้อวัคซีนแอสตราเซเนกา ได้ทำการสั่งซื้อว่าซื้อล่วงหน้าตั้งแต่ปี 2563 เดือนพฤศจิกายน ดังนั้น สัญญาการจองซื้อต้องอยู่ในเงื่อนไข ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกัน ต้องใช้สัญญาในลักษณะเดียวกัน และมีโอกาสไม่ได้รับหรือได้รับวัคซีนในลักษณะช้า เนื่องจากอยู่ในระหว่างการวิจัยและพัฒนา และอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติ ไม่ใช่เหมือนการซื้อสินค้าทั่วไป ที่มีความไม่แน่นอนในการวิจัยและพัฒนาการผลิต ซึ่งเป็นเงื่อนไขทุกประเทศ และทุกคนต้องรับความเสี่ยงร่วมกันในระหว่างการวิจัยและพัฒนาร่วมกันเนื่องจากไม่ใช่สถานการณ์ปกติจะเอาพื้นฐานความเข้าใจแบบเดิมมาใช้ในการตัดสินในสัญญาการจัดซื้อล่วงหน้าจะไม่เหมาะสมและไม่เข้ากับสถานการณ์
ส่วนการเข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ (Covax) นั้น มีประเทศที่เข้าร่วมโครงการ 139 ประเทศ แต่มีการแจกวัคซีนเพียง 224 ล้านโดส จะเห็นได้ว่าแต่ละประเทศได้รับวัคซีนไม่มาก การที่เราจัดซื้อวัคซีนโดยตรงทำให้เราได้รับวัคซีนมากกว่า และมีความแน่นอนมากกว่า ซึ่งตอนนี้เราได้รับวัคซีนและฉีดให้ประชาชนไปแล้ว 30 ล้านโดส ถ้าเราเข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ ก็อาจจะไม่มีความแน่นอนในการได้รับวัคซีน และอาจได้รับวัคซีนน้อย เพราะเป็นการจัดหาโดยโครงการขนาดใหญ่ มีประเทศเข้าร่วมจำนวนมาก และหากไทยเข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ ก็อยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องจัดซื้อ เมื่อพิจารณาดูแล้ว เห็นว่าถ้าเราจัดซื้อเองจากผู้ผลิตวัคซีนจะมีความแน่นอนกว่า จึงเป็นเหตุให้กระทรวงสาธารณสุขเดินหน้าจัดหาวัคซีนจากผู้ผลิตวัคซีนโดยตรง แต่ในอนาคตหากสถานการณ์เปลี่ยนไป ประเทศไทยอาจจะพิจารณาเข้าร่วมโครงการก็ได้
เรียกได้ว่า กล่าวหาได้มีประเด็น แต่เป็นประเด็นที่เก่า และไม่หาข้อมูลเพิ่ม เปิดทางให้อีกฝ่ายหักล้างข้อกล่าวหาได้ชัดเจน กระชับ สะท้อนถึงความเป็นปึกแผ่นของฝ่ายการเมืองกับฝ่ายข้าราชการประจำในกระทรวงสาธารณสุขได้อย่างชัดเจน
พรรคเพื่อไทยต้อทำการบ้านมากกว่านี้!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี