ในสนามรบแบบสายบังคับบัญชาทหาร “นายพล” ย่อมสำคัญ เป็นใหญ่ และเป็นผู้ออกคำสั่ง แต่ใน “สนามการเมือง” หากนายพลยังติดนิสัยนายพล เห็นคนอื่นเป็นแค่“พลทหาร” อาจเป็นการเดินเกมที่ “ผิดพลาด” ถึงขั้น “แพ้สงคราม” ได้
ครับ, การวัดพลังกันทางการเมืองระหว่างผู้กองธรรมนัส พรหมเผ่า กับ 2 พลเอก คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มองเผินๆ การ “สั่งปลด”ผู้กองธรรมนัสจากเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดู “สาแก่ใจ” กองเชียร์ท่านนายพลยิ่งนัก แต่ลองตั้งหลักคิดดีๆ ว่า “หลังจากนี้ ผู้กองกับนายพล ใครเดินต่อสะดวกสบายกว่ากัน”
1) “ข่าวปนคน คนปนข่าว” ผู้จัดการออนไลน์เล่าว่า “...หลังประชุม ครม.มีรายงานว่า “พี่น้อง 3 ป.” ลุงป้อม-ลุงตู่ และลุงป๊อก ได้ปิดห้องคุยกันอย่างลับๆ โดยใช้เวลาพูดคุยกันประมาณ 20 นาที
...บรรยากาศสีหน้าอาการของแต่ละคนเป็นอย่างไร ตลอด 20 นาที ที่พี่น้อง 3 ป. คุยกันนั้น คงมีแต่ “ตุ๊กแก” ที่เกาะฝ้าเพดานห้องเท่านั้นที่จะรู้ได้ … แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เล่นเอาตุ๊กแกตัวโตเกือบจะร่วงหล่น เพราะต๊กกะใจที่จู่ๆ “ลุงป้อม” ว้ากใส่ “ลุงตู่” ด้วยเสียงดังลั่น อย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน อารามต๊กกะใจตุ๊กแกตัวนั้นจำไม่ได้ ลุงป้อมหัวร้อน ต่อว่าลุงตู่ ว่าอย่างไร... จำได้เพียงเมื่อลุงป้อมได้ยินคำว่า “ปลด” ก็ของขึ้นทันที
...หลังจากนั้น ทั้ง “3 ป.” ก็แยกย้าย ทางใครทางมัน ท่าทีของแต่ละฝ่ายดูไม่เอนจอย อึมครึมพิกล!! คณะของ “ลุงป้อม” ลงมาก่อน โดยมีรัฐมนตรีในคาถามายืนรอส่งขึ้นรถ จากนั้น “ลุงตู่” ตามมา เดินผ่านคณะลุงป้อม โดยไม่หยุดทักทายพี่ใหญ่ หรือรอประคองเหมือนเคย สร้างความงุนงงสงสัยให้คณะลุงป้อม และ รัฐมนตรีที่ยืนรอส่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “นฤมล” ที่หันรีหันขวาง ว่าเกิดอะไรขึ้น ?
...และแล้วเกิดอะไรขึ้น ก็มีคำตอบตามมาในอีกไม่กี่ชั่วโมง เพราะมีรายงานว่า “ลุงตู่” ที่รีบร้อนจากไป ไม่ทักไม่ทายพี่ใหญ่ เพราะเตรียมตัวไป “ว.5” สถานที่สำคัญ
...ตัดภาพมา... วันหลังจาก ครม.วันอังคาร มาถึงวันพุธ(8 ก.ย.) เหตุการณ์ก็ปกติ ไม่มีระแคะระคาย จนกระทั่งมาถึงบ่ายของเมื่อวาน (9 ก.ย.) จังหวะที่ “ผู้กองธรรมนัส”ประชุมพรรคเสร็จ ก็เรียกนักข่าวมาแถลงข่าวด่วน ที่รัฐสภา ถึงการขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ท่ามกลางความสงสัยของนักข่าว และข่าวกำลังแพร่สะพัดออกไป จังหวะใกล้เคียงกันนั้น ก็มี ราชกิจจาฯประกาศให้ รัฐมนตรี ธรรมนัส และ นฤมล พ้นจากตำแหน่ง โดยระบุ พล.อ.ประยุทธ์ กราบบังคมทูล ว่า “สมควรให้รัฐมนตรีบางคนพ้นจากตำแหน่งเพื่อความเหมาะสม และบังเกิดประโยชน์แก่ราชการ” ประกาศ ลงวันที่ 8 ก.ย. 2564 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
...นั่นจึงเป็นที่มาของข้อถกเถียงกันว่า “ลาออก” หรือ “ถูกปลด” ซึ่งมีความหมายที่แตกต่างกัน จน “วิษณุ เครืองาม” ต้องออกมาแปลความ คอนเฟิร์มว่า “ปลด”
2 รมช.พ้นตำแหน่ง
...บ้างก็ว่า การปลดงานนี้ ร.อ.ธรรมนัส “สู้แพ้” จึงต้องเจอบทเรียน ส่วน “นฤมล” เจอหางเลขด้วยนั้น เพราะความสนิทสนมกับ ร.อ.ธรรมนัส ในฐานะ “คู่หู” จึงต้องไปเป็นแพ็กคู่ ขณะที่ “ลุงตู่” ปัดว่า สั่งปลด บอกแค่ “เขาลาออกเอง-ยังไงเขาก็ไม่อยู่แล้ว จะมายังไง จะไปยังไง ผมไม่ตอบ”
2) “กรุงเทพธุรกิจ” ให้ข้อมูลว่า “...การปลดทั้งร.อ.ธรรมนัส และนางนฤมล พ้นจากตำแหน่งครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากมีความพยายามล็อบบี้ให้ สส. โหวตคว่ำพล.อ.ประยุทธ์ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะพลิกเกมกลับมาได้และ ร.อ.ธรรมนัสได้กราบขอโทษพล.อ.ประยุทธ์
“พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และพล.อ.อนุพงษ์ สรุปตรงกันว่า ปล่อย ร.อ.ธรรมนัส และนางนฤมลไว้ไม่ได้เพราะทำลายรัฐบาลและทำลายพรรค นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับพล.ต.อ.นอกราชการคนหนึ่ง ร่วมมือดำเนินการแอบอ้าง 3 ป. หลายเรื่อง โดยพยายามเเทรกแซงการทำงานหลายอย่างในหลายกระทรวง จนเกิดผลเสียกับรัฐบาล ที่สำคัญพยายามจับมือขั้วตรงข้ามตั้งรัฐบาลโดยให้ พล.ต.อ.นอกราชการคนนั้นเป็นรมว.มหาดไทย และให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ” แหล่งข่าวระบุ
ทั้งนี้ มีการอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์บริหารงานพลาดเยอะในช่วงโควิด-19 พล.อ.อนุพงษ์ไม่ช่วย สส.ในพรรคเลย หากปล่อยไว้พรรคพลังประชารัฐไปไม่รอด ซึ่งพล.ต.อ.นายนี้ พยายามเข้าไปล้วงลูกองค์กรอิสระด้วย ซึ่งล่าสุด พล.อ.อนุพงษ์จะโดนองค์กรอิสระเรียกมาไต่สวนเรื่องเอื้อประโยชน์เอกชนด้วย
“พล.อ.ประยุทธ์ เชื่อว่าการตรวจสอบกรณีแอบอ้างหาผลประโยชน์ จะดำเนินการอย่างรอบคอบ และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และเชื่อว่าการยึดหลักสุจริต ยึดผลประโยชน์ของชาติครั้งนี้ จะสร้างมาตรฐานที่ดีในสังคม” แหล่งข่าว กล่าว
เเหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ในช่วงที่มีการต่อรองทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของร.อ.ธรรมนัสตลอดเวลา พร้อมกับสอบถาม สส.หลายคนในพรรคพลังประชารัฐ รวมทั้งครม.บางส่วน และหาข้อมูลจากส่วนราชการก่อน โดยพบว่ามีความพยายามแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานราชการหลายหน่วยงาน จึงตัดสินใจปลด ร.อ.ธรรมนัส
“ตัวอย่างในอดีต เปรียบเสมือนกรณีของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ทำตามคำแนะนำของจปร.7ในหลายเรื่อง แม้จะโดน จปร.7 ก่อกบฏ โดย พล.อ.เปรมลงโทษผู้ก่อการตามกระบวนการ และไม่อาฆาต พล.อ.ประยุทธ์ยึดหลักการดังกล่าวมาใช้”
3) “แนวหน้าออนไลน์” เล่าเหตุการณ์การพบหน้าและเคลียร์ใจกัน ก่อนลงมติไม่ไว้วางใจเอาไว้ว่า“...ร.อ.ธรรมนัส ได้ยกมือไหว้ขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมระบุว่า “ถ้าทำอะไรให้ท่านไม่สบายใจผมขอโทษ” ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ยกมือรับไหว้ตามมารยาท
...ร.อ.ธรรมนัส ยังได้ชี้แจงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ข่าวที่ออกมาเป็นข่าวลือทั้งหมด นักข่าวไปเขียนกันเอง ตนไม่รู้เรื่อง เป็นเฟคนิวส์ พร้อมกับระบายว่า สิ่งที่เชิญท่านมา อยากขอความมั่นใจว่านายกฯจะดูและและจะทำงานร่วมกับพวกเราสส.และพรรค พปชร.อย่างไร ตนมาขอความมั่นใจ พล.อ.ประยุทธ์ จึงตอบกลับว่า มีอะไรที่เราต้องดูแลบ้าง ร.อ.ธรรมนัส เลยพูดว่า มีหลายเรื่อง สส.ไม่สบายใจ ในฐานะเราเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล พรรคอื่นขออะไรก็ได้แต่พวกเราไม่ได้อะไรเลย พล.อ.ประยุทธ์ จึงตอบ ร.อ.ธรรมนัส ว่า ถ้าโครงการต่างๆ มันถูกกฎหมายก็เขียนมาสิ
...ร.อ.ธรรมนัส ได้พูดกับ พล.อ.ประยุทธ์ อีกว่า ท่านไม่เคยมาดูแล ไม่ได้เจอ สส.ในพรรคเลย สส.หลายคนก็ไม่เคยได้รู้จักกับท่านเลย พล.อ.ประยุทธ์ เลยตอบกลับไปว่า “ถ้าเป็นปัญหาแบบนี้ เราก็จะไปปรับตัวดู”ร.อ.ธรรมนัส จึงกล่าวว่า “อะไรที่ผิดพลาดไปผมก็ต้องขออภัย แต่สิ่งที่ผมพูดไป พูดไปในฐานะเลขาธิการพรรค ที่ต้องดูแลพรรค ดูแล สส.” พร้อมกับบอกพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยว่า ในการลงมติวันที่ 4 กันยายน ท่านไม่ต้องห่วงหรอกครับ แต่รัฐมนตรีบางคนอาจจะไม่เท่าท่าน โดยนายวิรัชรัตนเศรษฐ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. และประธานวิปรัฐบาล ได้กล่าวเสริมว่า ของท่านอันดับ 1 พล.อ.ประยุทธ์จึงบอกว่า ให้มันเท่าๆ กันดีกว่า อย่างไรก็ตาม มีช่วงหนึ่งที่ พล.อ.อนุพงษ์ พูดกับ สส.ว่า อะไรที่ทำได้ก็จะทำ อะไรที่ผ่านมาก็อย่าไปคิด
...อย่างไรก็ดี ในการพบ สส.ครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร และพล.อ.ประยุทธ์ ได้โชว์ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของ 3 ป.โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้ไปกอด พล.อ.ประวิตร พร้อมสลับพูดรับส่งกันอย่างอารมณ์ดีว่า “ถ้า 3 คน อยู่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าไปก็ต้องไปด้วยกัน ยังมีเรื่องราวของทั้ง 3 คนที่คนอื่นไม่รู้อีกเยอะ” นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังย้ำด้วยว่า “ถ้าอยู่เราต้องอยู่กัน 3 คน” ก่อนหันไปกระเซ้าพล.อ.ประวิตรว่า “ท่านอยากเป็นนายกฯหรือ” พล.อ.ประวิตรจึงกล่าวตอบอย่างอารมณ์ดีว่า “จะบ้าหรือ กูไม่เป็นหรอก มึงเป็นนั่นแหละ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่นาน พล.อ.ประวิตร เคยพูดกับ ร.อ.ธรรมนัส ที่เข้ารายงานสถานการณ์ต่างๆ ในพรรค ประโยคหนึ่งให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องว่า “มึงจะให้กูทรยศน้องกูเหรอ”
4) ถึงที่สุด เหตุผลที่แท้จริงในการ “ปลด” ผู้กองธรรมนัส ไม่มีวันที่สังคมจะได้รู้ แต่ด้วยข่าวเล่าข่าวลือผู้กองธรรมนัสกลายเป็น “กบฏ” คิดล้มล้างพลเอกประยุทธ์ซึ่งหลายคนยังคิดอยู่ว่า “เป็นไปได้หรือ ที่หากธรรมนัสจะก่อการใหญ่ขนาดนั้น พล.อ.ประวิตร จะไม่ระแคะระคาย หรือไม่รู้ไม่เห็น” เรื่องนี้จึงออกแนว “ราโชมอน” มาก ว่าตกลงใครเป็นใคร ใครทำอะไร ใครไม่ได้ทำอะไร
5) ครับ, อดีต เราคงแกะรอยกันได้แค่นี้ มองปัจจุบันและอนาคตกันดีกว่า ผลพวงจากเหตุการณ์นี้ เปิดโอกาสให้ก๊กก๊วนต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐมีโอกาสต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีช่วย 2 ตัวที่ว่างลง นายกฯ จะเล่นบทเข้มว่ายังไม่ปรับ ยังไม่ให้ ใช้เป็นเงื่อนไขปรับพฤติกรรมเหมือน “งดให้/ให้ อาหารหมา” แล้วเข้ารับการฝึกจนกว่าจะ “ฟังคำสั่ง” ใช้เก้าอี้เป็นรางวัลล่อใจ ใครทำตัวดี ใครมีเงื่อนไขที่น่าพอใจ “นาย” จะ “ให้” นะจ๊ะ ให้มันรู้ว่าใครเป็น“จ่าฝูง” อย่าได้กำแหงกับนายอีก
6) แต่นักเลือกตั้งจำนวนมากในพรรคพลังประชารัฐก็มิใช่ “ไก่อ่อน” ทั้งหมดล้วนว่ายน้ำเก่ง “เล่นตามน้ำ” ได้สบายๆ ดังจะเห็นว่า นกรู้อย่างกลุ่มสามมิตร นิ่งสงบตลอดแรงกระเพื่อมที่ผ่านมา นั่งน่ารักๆ รอเฉยๆ เป็นเด็กดีไม่สร้างปัญหา แต่พวกเขาเรียนรู้ว่า นายกฯเป็นนักบริหารแบบ “ใช้แล้วทิ้ง” เช่น ที่ทิ้งกลุ่ม 4 กุมารไปก่อนหน้านี้ เพียงแค่มี “พลังกดดันต่อรอง” ที่ถูกเวลา
7) เหตุการณ์นี้ อย่าเพิ่งคิดว่า 2 นายพล ที่แยกตนออกไปจากพรรค และไม่เคยแสดงความรักต่อ“นักการเมือง” อย่าง อยู่แบบ “คนละพวก คนละชั้น”กันมาตั้งแต่ยุค คสช. อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.อนุพงษ์ “ชนะแล้ว” นะครับ เพราะทั้งคู่อยู่ในภาวะ “ขาลอย” หากไม่มีพรรคการเมืองสนับสนุน จะไปต่ออย่างไรในวันข้างหน้า ขณะที่อีก 1 พลเอก คือ พล.อ.ประยุทธ์ “ให้ใจ” และ “ได้ใจ” นักการเมือง/นักเลือกตั้งพวกนี้มากกว่า ปฏิบัติการของร้อยเอกธรรมนัสครั้งนี้(ถ้ามีจริง) ทำให้ 2 นายพลได้สติว่า จะต้องเข้ามา“ร่วมปกครอง” นักเลือกตั้งในพลังประชารัฐให้ใกล้ชิดขึ้น เพราะปราศจาก “อิฐรองตีน” เก้าอี้รัฐมนตรี เก้าอี้นายกฯ ก็สั่นคลอน
8) แต่เวลานี้ กระแสความเด็ดขาด (แต่จริงๆ คือ หวั่นไหว) ของนายกฯ กำลังมาแรงในทุกๆ โรงละคร(คือหน้าฉากการเมือง) มีเก้าอี้ว่าง มีรางวัลรออยู่นักการเมืองมืออาชีพ เขาไม่กระโตกกระตากความในใจหรือความรู้สึก แบบที่ธรรมนัสบอกกับนายพลทั้งหลาย ไปตรงๆ นั่นดอก เพราะธรรมนัสคิดแบบ “แม่บ้านพรรค” แม่ทัพที่จะต้องสู้ศึกเลือกตั้งในภาพรวม ว่าจะเอาอะไรไปชนะใจประชาชน ถ้า สส.ถูกกดหัวไว้แบบ “พลทหาร” คอยยกมือในสภาเป็นพอ และผลงานของนายกฯ กับมหาดไทย ที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั้งประเทศเป็นอย่างนี้และไม่ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์ทางการเมือง ในเวลาปีครึ่งก่อนการเลือกตั้งจะมาถึง นักเลือกตั้งที่เหลือในพลังประชาชน แค่แสดงบท “เด็กดี” อยู่ในโอวาท และไปจัดการ “คุมพื้นที่ตัวเองให้อยู่” ชนะเลือกตั้งกลับมาให้ได้แล้วมาจับกลุ่มกันสร้างอำนาจต่อรองในวันข้างหน้าก็จบแล้ว ไม่ต้องเล่นเกมใหญ่ ไม่ต้องไปปะทะ เพราะ “วันพระไม่ได้มีหนเดียว”
9) พล.อ.ประยุทธ์ กับพี่ 2 ป. จะไปต่อยังไงรู้แล้วใช่ไหมว่าอิฐที่ใช้รองตีนขึ้นสู่อำนาจ ไม่ได้ถูกก่อขึ้นอย่าง “มั่นคง” ด้วย “อุดมการณ์เดียวกัน” แต่ก่อขึ้นฉาบฉวยเฉพาะกิจ เพราะรัฐธรรมนูญที่เขียนให้พรรคนี้ชนะ (ตามคำพูดของนายวีระกร คำประกอบที่ยอมย้ายจากพรรคเพื่อไทยมาอยู่พรรคนี้) เพราะ สว.มีอำนาจเลือกนายกฯ ด้วย ที่มีค่าเท่ากับกรมธรรม์ประกันภัยทางการเมือง และระบบจัดสรรปันส่วนผสม ที่เปิดช่องให้องค์กรอิสระคำนวณคะแนนแทนเจตนารมณ์ประชาชน บวกกับกระแส “เลือกความสงบจบที่ลุงตู่” บวกกับการแพร่ภาพลุงตู่นั่งอ่านหนังสือที่หน้าปกเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 บวกกับรายการพิเศษผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจคืนก่อนเลือกตั้ง จนนำมาสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ที่พรรคอื่นได้เก้าอี้ดีกว่าคนในพรรคพลังประชารัฐ และเก้าอี้ดีๆ ที่พอจะให้คนในพรรคได้ ก็กลายเป็น “โควตานายกฯ” อยู่เหมือนคนบ้านเล็กบ้านใหญ่ใจจึงไม่ได้ผนึกกันด้วยใจ อยู่กันแบบ “รอโอกาส”
10) วันข้างหน้า พล.อ.ประยุทธ์จะโบกมือลาการเมืองหรือเปล่า (จะกลัวถูกนักการเมืองเช็คบิลไหม) หรือจะกลับมาสู่อำนาจใหม่ ใครจะเป็น “อิฐรองตีน” ในวันนั้น ผลงานอีกปีครึ่งที่เหลือเป็นตัวชี้วัด แต่ “ราคา” ของการ “รองมือรองตีน” ในวันข้างหน้า ไม่ใช่ราคาแบบวันนี้แล้วแน่ๆ คราวหน้าท่านจะเจอการ “โก่งราคา” และ “การต่อรอง” ที่หนักหน่วงมาก ทั้งจากพรรคที่ผลักดันท่าน และพรรคร่วมรัฐบาล ทางของ พล.อ.ประยุทธ์นั้นจึงยากกว่าทางของธรรมนัสในการ “ไปต่อ”
11) หากธรรมนัสไม่ถูกไล่บี้ ไม่ว่าจะทางธุรกิจ หรือเกิดมีคดงคดีอะไรขึ้นมา ธรรมนัสก็ใช้เวลาปีครึ่งนี้ ไปตั้งพรรค หรือรอไว้ หรือถ้ามีเหตุถูกขับออกจากพรรคพลังประชารัฐ ก็แค่ย้ายไปอยู่พรรคไหนสักพัก ไปปักหลักสร้างบุญบารมีที่จังหวัดพะเยาและพื้นที่ใกล้เคียง หล่อเลี้ยงลูกน้องมิตรสหายเอาไว้ แล้วค่อยไปรวมตัวกันในการเลือกตั้งรอบหน้า รอว่า “ขั้วประยุทธ์” กับ “ขั้วทักษิณ ชินวัตร” ใครจะคว้าเสียงข้างมากจากประชาชนมาได้ หากพรรคเดียวเสียงไม่พอตั้งรัฐบาล ก็ต้องหาพันธมิตรเข้าร่วม ถ้ายกขันหมากมาขอ ก็แพงหน่อยนะ (ฮาๆ) เช่นเดียวกับพรรคอื่นๆ ก็ต้อง “ต่อรองสูง” เช่นกัน
แต่ที่สำคัญ อะไรจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ กับพี่นายพลทั้งสอง ยังอยู่ในอำนาจได้ในสมัยหน้า
อะไรจะพาพวกเขากลับมา
และใครจะเป็น “อิฐรองตีน”
ฝากเป็นการบ้าน คิดอ่านกันต่อไปครับ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี