ในที่สุดรัฐสภาไทยชุดที่ 25 ก็มีมติท่วมท้นในวาระ 3ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ในมาตราที่ 83 และมาตรา 91 ซึ่งเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้งจากการใช้บัตรลงคะแนนใบเดียวเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสองระบบคือ ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 350 รายและระบบบัญชีรายชื่อ 150 ราย ท่ามกลางเสียงเรียกร้องคัดค้านจากนักวิชาการและประชาชนส่วนใหญ่ ด้วยเหตุที่ว่าการเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้งตามมาตรา 83 และมาตรา 91 นั้นเสมือนกลับไปใช้รูปแบบการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่ให้ความคุ้มครองและสนับสนุนภาวะความเป็นผู้นำและสถาบันพรรคการเมืองจนนำไปสู่การก่อกำเนิดระบอบทักษิณและระบบเผด็จการรัฐสภา ที่เบียดบังและกอบโกยผลประโยชน์ของชาติมาเป็นของตนเองครอบครัวและกลุ่มคนใกล้ชิด จนเกิดคดีอาญามากมายนำไปสู่คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้จำคุก นายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี(ซึ่งในขณะนั้นยศพันตำรวจโท)
และการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่ลอกสาระสำคัญในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 มาบัญญัติไว้ซึ่งเกิดการทุจริตเชิงนโยบาย เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ทำให้ประเทศชาติเกิดความเสียหายอย่างมหาศาลจากนโยบายจำนำข้าวทุกเม็ดของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การบริหารรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต่อมาต้องหลบหนีคดีออกนอกประเทศ ภายหลังจาก
ที่กปปส. เป็นแกนนำ นำมวลมหาประชาชนจำนวนมหาศาลออกมาเดินขบวนขับไล่ให้ออกจากตำแหน่ง ก่อนที่ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา”จะนำผู้นำเหล่าทัพ ทหาร ตำรวจ และพลเรือนก่อการรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญและยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่จัดการเลือกตั้งแบบบัตรเลือกตั้งใบเดียวจนทำให้ “พรรคพลังประชารัฐ”ชนะการเลือกตั้งและเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล สร้างความแค้นเคืองให้กับนักการเมืองส่ำสัตว์โอปปาติกะชังชาติมากมาย
การแก้ไขระบบการเลือกตั้ง แม้อ้างว่าเพื่อให้ระบบพรรคการเมืองเข้มแข็ง แต่ได้รับการคัดค้านจากประชาชนที่มุ่งหวังให้นักการเมืองขี้ฉ้อไม่มีอำนาจทางการเมือง อยากเห็นคนดีปกครองประเทศ เพราะนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ความว่า
“ในบ้านเมืองนี้มีทั้งคนดีและคนไม่ดีไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้ บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดีหากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”ใส่เกล้าฯ
แน่นอน เป็นไปได้ที่ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และพรรคพลังประชารัฐ” จะเชื่อมั่นในผลงานการบริหารประเทศช่วง 7-8 ปีหลังทำรัฐประหาร จนเกิดวาทกรรมในจิตใต้สำนึกและห้วงสมอง ว่า “กูไม่กลัวมึง” ในการเลือกตั้งสมัยหน้า วลีเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้ง “หม่อมป้า-พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช”อดีตหัวหน้าพรรคกิจสังคมที่นำสมาชิกพรรคชนะเลือกตั้งแค่ 18 ที่นั่งในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2517 ที่ร่างขึ้นโดยสภาสนามม้าเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ท่ามกลางกลุ่มกระหายอำนาจทางการเมืองหลังยุค “14 ตุลา 16-วันมหาวิปโยค”
ใครก็ตามที่สนใจติดตามการเมืองไทยในยุคนั้นย่อมตระหนักดีว่า “พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นั้นสติปัญญาลีลาเหลี่ยมคูชั้นเชิงลีลาทางการเมืองแหลมคมแต่ไหน บริหารประเทศท่ามกลางกระแสกระเหี้ยนกระหือรือของกองทัพที่จะก่อการปฏิวัติรัฐประหาร” แต่ หม่อมคึกฤทธิ์ก็รักษาประชาธิปไตยไว้ได้ไม่ถูกกองทัพยึดอำนาจ แต่พลเอกประยุทธ์ไม่ใช่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ จึงต้องระวังสุภาษิตที่ว่า “เล่นกับมหา หมาเลียปาก เล่นกับสาก สากต่อยหัว”การยินยอมให้นำระบบการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบมาใช้อย่างที่นักการเมืองบางกลุ่มแนะนำจนหลงเชื่อนั้น อาจทำให้ “ลุงตู่-พรรคพลังประชารัฐ” ไม่สามารถรักษาสถานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและความหวังของคนทั้งประเทศที่ต้องการเห็นคนดีมาปกครองประเทศ
ถ้าไม่อยากเห็นสัมภเวสีโทนี่ เจ้าของฟาร์มวรนุส กลับเข้าประเทศอย่างเท่ๆ และได้ปกครองประเทศ ย่างก้าวจากนี้คือภารกิจกู้วิกฤตศรัทธาจากมวลประชาครั้งใหญ่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี