อินโดนีเซียถือว่าเป็นพี่ใหญ่ในกลุ่มประเทศอาเซียนเพราะเป็นประเทศมุสลิมใหญ่ที่สุดในโลกที่มีประชากรกว่า 270 ล้านคน จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่อินโดนีเซียจะเป็นผู้ชี้นำหรือเป็นหัวหอกออกหน้าช่วยแก้วิกฤตแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศอาเซียน
แต่อินโดนีเซียกับสหรัฐอเมริกาก็ไม่สำเหนียกว่าบริบทสังคมการเมืองในอาเซียนเปลี่ยนไปไม่เหมือนครั้งสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชา เพราะความขัดแย้งในสหภาพพม่ามีที่มาแตกต่างกับสงครามกลางเมืองกัมพูชาโดยสิ้นเชิง
ในสงครามกลางเมืองกัมพูชา หลังจากที่เวียดนามส่งทหารกว่า 250,000 นาย มาช่วยฝ่าย “เฮง สัมริน”ขับไล่เขมรแดงออกจากพนมเปญ หนีเข้าป่ามาตั้งฐานที่มั่นอยู่ใกล้ชายแดนไทยในต้นทศวรรษ 2520 นายอาลี อาลาตัสรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียในขณะนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในตัวจักรสำคัญที่ผลักดันให้มีกองกำลังเขมรสามฝ่ายขึ้นใกล้ชายแดนไทยในนามของกลุ่มประเทศอาเซียน
จุดมุ่งของการสนับสนุนเขมรสามฝ่ายในยุคนั้นคือต่อต้านขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์เป็นสำคัญ ณ เวลานั้นประเทศไทยและอินโดนีเซียถือว่าเป็นประเทศที่ร่วมก่อตั้งประชาคมประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียนมาด้วยกันอันได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ได้ร่วมลงนามในเอกสารก่อตั้งอาเซียน ที่เรียกว่าปฏิญญากรุงเทพฯ
เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นประเทศใหญ่และอยู่ไกลไปจากที่เกิดเหตุเลยได้รับเกียรติให้เป็นผู้ออกหน้าแก้ปัญหาสงครามกลางเมืองในกัมพูชา เพราะอาเซียนเชื่อว่าได้แก้ปัญหาภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ไปพร้อมๆ กันส่วนประเทศไทยจะเป็นหัวหอกออกหน้าไม่ได้เนื่องจากว่าไฟสงครามมันอยู่ใกล้ชิดติดกับชายแดนไทย บางคราวสงครามก็ล้ำเข้าในอธิปไตยของไทย ต้องต่อสู้ขับไล่ผลักดันออกไป เราเลยกลายเป็นคู่ขัดแย้ง (Conflict Party) โดยอัตโนมัติ โดยกติกาของสหประชาชาติคู่ขัดแย้งจะเป็นกรรมการหรือคณะผู้เจรจาไม่ได้ ไทยจึงให้อินโดนีเซียออกหน้า
ตั้งแต่นั้นมาอินโดนีเซียเลยถือเอาว่าตัวเองคือพี่ใหญ่ในอาเซียน มีข้อขัดแย้งขึ้นที่ไหนอินโดนีเซียต้องเข้าไปเป็นหัวหอกในการแก้ปัญหาเป็นผู้นำในการเจรจาเนื่องจากว่าสถานที่ตั้งของสำนักงานเลขาธิการอาเซียนตั้งอยู่ในกรุงจาการ์ตา
แม้แต่ตอนที่ประเทศไทยขัดแย้งกึ่งกับใช้กำลังตอบโต้กับกัมพูชาที่เขาพระวิหารในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนนั้นสหประชาชาติยังแต่งตั้งให้อินโดนีเซียเข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ และนั่นเป็นที่มาให้อินโดนีเซียทึกทักเอาว่าตัวเองสำคัญกว่าใคร ถึงแม้ว่าบริบทสังคมเปลี่ยนไปอาเซียนเติบใหญ่ขึ้นมาจาก 5 ประเทศเป็น 10 ประเทศ คือกัมพูชา สปป.ลาวเวียดนาม พม่า ติมอร์ตะวันออก เพิ่มเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในทศวรรษที่ 2530
ระบอบการปกครองในกลุ่มอาเซียนก็เปลี่ยนไปเป็นการปกครองหลากหลาย มีทั้งเสรีประชาธิปไตย ระบอบปกครองแบบคอมมิวนิสต์ แบบอำนาจนิยมพรรคเดียวและประชาธิปไตยหลายพรรค ถึงแม้ว่าบริบทของสังคมอาเซียนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรอินโดนีเซียก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นพี่ใหญ่ที่ชี้นำได้ทุกอย่าง
ในกรณีวิกฤตการเมืองในพม่าซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกประชาคมอาเซียน ที่สหประชาชาติและหลายประเทศ อาทิ จีนและรัสเซีย ได้มีมติมอบฉันทะให้อาเซียนแก้ปัญหา แต่ที่เกิดอุปสรรคล่าช้าอาจเป็นเพราะว่าอินโดนีเซียยังถือว่าตัวเป็นพี่ใหญ่จึงอยากให้ทุกประเทศทำตามที่อินโดนีเซียต้องการ
ในกรณีแต่งตั้งทูตอาเซียนและผู้แทนพิเศษจากอาเซียนเข้าไปช่วยเจรจาแก้ปัญหาวิกฤตพม่าตามฉันทามติ 5 ข้อที่ตกลงกันไว้ในกรุงจาการ์ตาเมื่อเมษายนที่ผ่านมา เกิดล่าช้าเพราะว่าอินโดนีเซียต้องการแต่งตั้งทูตอาเซียนประจำพม่าตามอำเภอใจ
นางเรตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย กับนายเอรีวัน ยูซอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศคนที่ 2 ของบรูไน เคยเดินทางไปพบกับพลเอกมิน อ่อง หล่าย ในกรุงเนปิดอว์ ประเทศสหภาพพม่า ในขณะที่พลเอกมิน อ่อง หล่ายยังดำรงตำแหน่งประธานคณะบริหารแห่งรัฐ หรือ SAC (State Admiration Council) เมื่อเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา
ตอนนั้นนางมาร์ซูดี และ นายเอรีวันได้พบแต่ฝ่ายรัฐบาลทหารพม่า และพลเอกมิน อ่อง หล่าย ไดกล่าวว่า “พม่ายินดีต้อนรับคณะผู้แทนพิเศษจากอาเซียนและรับการช่วยเหลือถ้าอาเซียนแต่งตั้งนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการต่างประเทศของไทยมาเป็นทูตอาเซียนประจำพม่า”
นางมาร์ซูดี มีทูตอาเซียนพม่าอยู่ในใจแล้วแต่ไม่พูดออกมาต่อหน้าพลเอกมิน อ่อง หล่าย ทำให้ฝ่ายพม่าเข้าใจมาตลอดว่านายวีระศักดิ์คือทูตอาเซียนประจำพม่า จนกระทั่งวันที่ 1 สิงหาคม 2564 ซึ่งครบรอบ 6 เดือน ทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคเอ็นแอลดี ของนางออง ซาน ซู จี
พลเอก มิน อ่อง หล่าย ซึ่งได้ยกระดับจากตำแหน่งจากประธานคณะผู้บริหารแห่งรัฐ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการสหภาพพม่าเปิดเผยในตอนหนึ่งของคำกล่าวสุนทรพจน์ว่า เขาต้องการให้นายวีระศักดิ์ฟูตระกูล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย เป็นทูตอาเซียนประจำเมียนมา.... แต่ “มีการเปิดเผยข้อเสนอใหม่และเราไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้”
จึงหมายความว่าพลเอกมิน อ่อง หล่ายไม่พอใจรับทูตอาเซียนคนใหม่ ที่รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียนางเรตโน มาร์ซูดีเสนอมา ซึ่งไม่ใช่นายวีระศักดิ์อดีต รมช.กต.ของไทย
เมื่อพลเอกมิน อ่อง หล่าย ซึ่งบัดนี้ยกระดับขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการและเอ่ยถึงทูตวีระศักดิ์ขึ้นมาว่า “อยากให้นายวีระศักดิ์เป็นทูตอาเซียนประจำพม่า” ทำให้สหรัฐอเมริกากับอินโดนีเซียเต้นเป็นเจ้าเข้าทรง ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ทันทีว่า
“ไม่ยอมรับรัฐบาลรักษาการทหารพม่า และไม่เชื่อว่าทหารพม่าจะจัดการเลือกตั้งได้ในสองปีข้างหน้า พร้อมทั้งเรียกร้องให้อาเซียนรีบปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจรจาให้ปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี จากที่คุมขังและฟื้นฟูรัฐบาลที่ผ่านเลือกตั้ง 8 พ.ย.2563 ขึ้นมาใหม่”
ฝ่ายนางมาร์ซูดี รมต.กต. ของอินโดนีเซียก็เดือดเนื้อร้อนใจไม่ต่างกับสหรัฐอเมริกา เมื่อได้ยินว่าพลเอกมิน อ่อง หล่ายอยากได้ทูตอาเซียนประจำพม่าชื่อวีระศักดิ์ซึ่งเป็นคนไทย นางร้อนใจถึงกับโทรศัพท์มาขอร้องให้ไทยถอนตัว ในเมื่อมีคนกล้าขอไทยก็ยอมถอนตัวให้
รมต.ต่างประเทศอาเซียนก็ประชุมฉุกเฉินขึ้นมาเมื่อวันจันทร์ที่ 2 ส.ค.ที่ประชุมได้ข้อสรุปว่าเลือกนายเอรีวัน ยูซอฟ เป็นทูตอาเซียนประจำพม่า แต่ยังออกแถลงการณ์ไม่ได้เพราะพม่ายังไม่ยอมรับ สำนักข่าวเอพีอ้างแหล่งข่าววงการทูตที่ไม่เปิดนามว่า ผู้แทนจากอาเซียนไปเจรจาข่มขู่อ้อนวอนพลเอกมินอ่อง หล่าย ถึงสองครั้งสองคราสุดท้ายพลเอกมินอ่อง หล่าย ก็จำใจรับทูตอาเซียนที่อินโดนีเซียผลักดันแต่งตั้งให้
อาเซียนถึงได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันพุธที่ 4 ส.ค. มีใจความสำคัญว่า..“..ภารกิจสำคัญของนายเอรีวัน ในฐานะทูตอาเซียนประจำพม่าคือ ยุติความรุนแรงในประเทศพม่า เปิดการเจรจาระหว่างรัฐบาลทหารพม่ากับคู่ขัดแย้งและฝ่ายต่อต้านทุกฝ่าย...สร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ ให้เข้าถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นเขาต้องดูและด้านสิทธิมนุษยชน และสิ่งของที่ได้รับการช่วยจากอาเซียน..”
นางมาร์ซูดี ออกแถลงการณ์แยกเป็นส่วนตัวว่า “ทูต เอรีวัน จะเริ่มงานในเร็ววัน และต้องเข้าถึงทุกฝ่ายอย่างครบถ้วนในพม่าเข้าถึงแกนนำกลุ่มต่อต้านทุกคนในหลายฝ่ายรวมทั้งนางออง ซาน ซู จี ที่ถูกไล่ออกและถูกคุมขังอยู่เวลานี้”
ดร.วิเวียน บาลาคริชนัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์เขียนในเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า.. “การแต่งตั้งนายเอรีวัน (เป็นทูตอาเซียนประจำพม่า) เป็นขั้นตอนแรกที่ยากลำบาก สำหรับอาเซียนที่จะทำให้ลุล่วงตามฉันทามติ 5 ข้อ เมื่อเดือนเมษายน มาประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ ขอเรียกร้องรัฐบาลทหารพม่าให้ต้อนรับนายเอรีวัน เตรียมการต่างๆ ให้นายเอรีวันเปิดโอกาสให้เขาเข้าถึงผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ให้การเจรจาอย่างมีความหมายและหาทางให้ได้ข้อสรุปอย่างสันติวิธีและยั่งยืน..”
วิเคราะห์จากแถลงการณ์ของสหรัฐอเมริกาและของ นางมาร์ซูดี บอกได้ว่าอเมริกากับอินโดนีเซีย มองวิกฤตในพม่าแค่ปัญหาระหว่างทหารกับนางออง ซาน ซู จีเท่านั้น ส่วนแถลงของรัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ดูเหมือนว่าจะเข้าใจถึงปัญหาซับซ้อนในสังคมและการเมืองในสหภาพพม่าเขาถึงเขียนบนเฟซบุ๊คว่า
“...การแต่งตั้งนายเอรีวัน (เป็นทูตอาเซียนประจำพม่า) เป็นขั้นตอนแรกที่ยากลำบาก สำหรับอาเซียนที่ทำให้ลุล่วงฉันทามติ5 ข้อเมื่อเดือนเมษายน มาประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ..” รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ยังขอร้องให้รัฐบาลรักษาการทหารพม่าให้ช่วยเตรียมการจัดการให้นายเอรีวัน ได้พบปะเจรจากับคู่ขัดแย้งทุกฝ่ายเพื่อให้ได้ข้อสรุปอย่างสันติและยั่งยืน
สิงคโปร์จำเป็นต้องรู้สภาพความจริงและความเป็นมาของความซับซ้อนในวิกฤตพม่า เพราะว่าสิงคโปร์เป็นประเทศลงทุนรายใหญ่ที่สุดในพม่าเป็นมูลค่ากว่า 24,112 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนสหรัฐอเมริกาลงทุนในพม่าเพียง 547 ล้านดอลลาร์ ดังนั้นถ้าวิกฤตพม่าลุกลามไปถึงขั้นล่มสลายประเทศที่เสียหายมากกว่าใครคือสิงคโปร์ไม่ใช่อเมริกา
อินโดนีเซียกับอเมริกาจึงมองปัญหาในสหภาพพม่าแบบตาบอดคลำช้าง โดยไม่เข้าใจถึงบริบทที่แตกต่างของความขัดแย้งในตะวันออกกลางและสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชา กับในสหภาพพม่าว่าความซับซ้อนของปัญหาแตกต่างกันอย่างไร
อินโดนีเซียและอเมริกาไม่เข้าใจว่าความขัดแย้งในพม่าเกินจากปัญหาภายในไม่ใช่ความขัดแย้งทางลัทธิคอมมิวนิสต์กับทุนนิยมสามานย์เหมือนอดีตผ่านมาอินโดนีเซียกับอเมริกาไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าทำไม พลเอกมิน อ่อง หล่าย ถึงอยากได้ทูตอาเซียนที่เป็นคนไทย
เพราะทั้งอินโดนีเซียและสหรัฐฯไม่รู้สายสนกลในว่าไทยกับพม่ามีชายแดนติดกันยาวกว่า 2,000 กม. ตั้งแต่ภาคเหนือสุดจนถึงภาคใต้ชายฝั่งทะเลอันดามัน ดังนั้นความสัมพันธ์ไทยกับพม่าจึงลึกซึ้งกันมาตั้งแต่ระดับประชาชน วัฒนธรรมประเพณี ตลอดถึงความมั่นคงซึ่งกันและกัน ฐานที่มั่นของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าหรือความเคลื่อนไหวของกองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต่อต้านทหารพม่าอยู่ตรงไหนจุดไหน ทั้งหน่วยงานมั่นคงไทยและพม่ารู้พอๆ กัน
อินโดนีเซียกับสหรัฐอเมริกาเหมือนกับประชาคมโลกส่วนใหญ่ที่รับรู้ข่าวสารในพม่า จากโฆษณาชวนเชื่อจากปฏิบัติการข่าวของตะวันตก ซึ่งนำโดยอดีตทหารอเมริกัน ที่แปลงกายมาเป็นเอ็นจีโอเคลื่อนไหวอยู่ที่รัฐกะเหรี่ยง เป็นผู้ปั่นแสสงครามกลางเมืองในพม่าและสร้างภาพให้เห็นว่ากลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ใกล้ชายแดนไทยยังเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่สามารถต่อกรกับกองทัพพม่าได้ ทั้งๆ ที่กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านั้นล่มสลายไปแล้วตั้งแต่ปี 2545
แต่เอ็นจีโอ อเมริกันยังสมคบกับสื่อตะวันตกปั่นกระแสสร้างภาพให้กองกำลังชาติพันธุ์ที่ใกล้ชายแดนไทยไม่ว่าจะเป็นกะเหรี่ยง KNU มอญใหม่ คะยาหรือแม้แต่กองกำลังของฉานใต้RCSS/SSA ให้ดูยิ่งใหญ่ ทั้งๆ ที่กองกำลังเหล่านั้นมีไว้เพื่อสวนสนามโชว์ปีละครั้งเท่านั้น
ปฏิบัติการข่าวของเอ็นจีโอ อเมริกันกับสื่อตะวันตก ไม่เคยบอกความจริงกับประชาคมนานาชาติและสหรัฐอเมริกาว่ากองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่นั้นอยู่ทางภาคเหนือของพม่าใกล้ชายแดนจีน ไม่ว่าจะเป็น UWSA หรือUnited Wa State Army ของชาติพันธ์ุว้าว่ากันว่ามีกำลังติดอาวุธกว่า 30,000 นายหรือกองกำลังติดอาวุธ KachinIndependent Army=KIA ของชาติพันธุ์คะฉิ่น และกองกำลังติดอาวุธของฉานเหนือ หรือ Shan StatePeople Party /Shan State Army =SSPP/ SSA และกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ฉานและกลุ่มอื่นๆ ที่อยู่ทางภาคเหนือพม่า
กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ใกล้ชายแดนจีน ล้วนแต่มีอิทธิพลอยู่เหนือพื้นที่มีทรัพยากรธรรมชาติมีค่ามากมายมหาศาล อาทิ หยก พลอย แร่หายากหรือ Rare earth และอื่นๆ ที่สำคัญกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนและทหารพม่าเนื่องจากว่ามีผลประโยชน์ร่วมกัน
ในฐานะผู้สังเกตการณ์จึงกล้าฟันธงว่าทูตอาเซียนประจำพม่าซึ่งรับการแต่งตั้งโดยที่ผู้กุมอำนาจ รัฏฐาธิปัตย์ไม่เต็มใจ ไม่มีวันได้พบปะเจรจาปรองดองกับตัวแทนผู้ขัดแย้งจากทุกฝ่าย อย่างดีก็พบปะเจรจากับหน้าม้าที่เจ้าบ้านจัดให้แต่ไม่ใช่ตัวจริงเสียงจริง
จึงสรุปตามคำทำนายของ “เบอร์ธิล ลิเนอร์”
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี