ปัญหาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 ยังคงเป็นวิบากขวางความต้องการของบรรดากองเชียร์ทั้งหลายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ต่อไป และความจริงในเรื่องนี้ยังมีล็อกชั้นที่สองซ้ำเข้าไปอีก
เป็นล็อกชั้นที่สองที่เกิดขึ้นในขณะที่ไม่มีการคาดคิดว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้กี่ปี
นั่นคือการวินิจฉัยปัญหาของ ป.ป.ช. ในเรื่องนี้เมื่อครั้งที่มีปัญหาว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. หรือไม่
ในขณะนั้นมีผู้ตั้งประเด็นปัญหาว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. หรือไม่
ในครั้งนั้น ป.ป.ช. ได้วินิจฉัยเรื่องนี้ว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว และต่อมาก็ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 แต่การสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก่อนที่รัฐธรรมนูญ 2560 จะใช้บังคับนั้นสิ้นสุดลงเมื่อคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 เข้ารับหน้าที่แล้ว
ดังนั้นจึงเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกัน และระยะเวลาการดำรงตำแหน่งแต่ละสมัยไม่ได้ห่างกันเกินจากที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับ ป.ป.ช. กำหนด ดังนั้น จึงวินิจฉัยว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. เว้นแต่จะต้องการยื่นเพื่อเป็นหลักฐาน ซึ่งในกรณีเช่นนั้น ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจที่จะเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินดังกล่าวได้
การวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวของ ป.ป.ช. จึงสรุปได้ว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวและการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ก็เป็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มีความต่อเนื่องกัน
รัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคที่สี่ บัญญัติว่า บุคคลจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกินระยะเวลา 8 ปีไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าไม่ว่ากรณีดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องหรือว่างเว้น แต่เมื่อรวมจำนวนเวลาแล้วก็จะเกิน 8 ปีไม่ได้
ยิ่งกว่านั้น ได้มีการจัดทำเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 ไว้ว่าในกรณีใดมีข้อสงสัยว่ารัฐธรรมนูญมาตราใดมีเจตนาอย่างไร ก็ให้ดูเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญด้วย
ความจริงบทบัญญัติในมาตรา 158 วรรคสี่นั้น มีความชัดเจนถึงระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่าไม่เกิน 8 ปี ไม่มีเหตุหรือไม่มีข้อสงสัยประการใดๆ เลย
แม้กระนั้น เมื่อดูเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรคสี่ก็ระบุชัดว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 นั้นไม่ต้องการให้บุคคลใดดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรวมกันแล้วเกิน 8 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตทางการเมือง ซึ่งอาจนำไปสู่การล้มล้างรัฐธรรมนูญนั่นเอง
ดังนั้นทั้งโดยบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร และโดยเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญที่จัดทำไว้เป็นหนังสือก็มีความชัดเจนตรงกันว่าบุคคลจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปีไม่ได้
นอกจากนั้น เพื่อรับรองฐานะนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ก็ได้มีการตรารัฐธรรมนูญ มาตรา 264 ไว้เป็นการเฉพาะว่า การดำรงตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีก่อนหน้าที่รัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับนั้น ให้ถือว่าเป็นการดำรงตำแหน่งคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วย
จึงมีความชัดเจนว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 นั้นก็อยู่ในบังคับของรัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคสี่ คือต้องรวมระยะเวลาแล้วไม่เกิน 8 ปีด้วย
ในขณะที่กำลังมีการร่างรัฐธรรมนูญเรื่องนี้ก็เคยมีผู้ทักท้วงว่าไม่ควรบัญญัติบทเฉพาะกาลในมาตรา 264 โดยพึงถือว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้นเป็นภารกิจต่อเนื่องจากการรัฐประหาร 2557 หรือถ้าจะบัญญัติก็พึงบัญญัติว่า “ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 158 วรรคสี่”
ซึ่งถ้าบัญญัติเช่นนั้นแล้วก็จะไม่เป็นปัญหาและไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางการดำรงตำแหน่งของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ไปเป็นระยะเวลา 8 ปี
แต่ในขณะนั้นคนบางพวกกลับไม่พอใจต่อความคิดเห็นในเรื่องนี้ เพราะคณะผู้เกี่ยวข้องในการร่างรัฐธรรมนูญเห็นว่าได้มีการวางหลักไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ แล้ว ในเรื่องระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่าไม่เกิน 8 ปี เพียงแต่ก่อนหน้านั้นบัญญัติความในลักษณะที่ว่าจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 8 ปีไม่ได้ ดังนั้นเมื่อจะมีการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ควรจะพัฒนาหลักการดังกล่าวไปอีกขั้นหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตความขัดแย้งทางการเมือง
จึงยืนยันที่จะบัญญัติเป็นบทเฉพาะกาลในมาตรา 264 ว่าการดำรงตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว เป็นการดำรงตำแหน่งคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วย จึงอยู่ในบังคับระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง 8 ปีตามมาตรา 158 วรรคสี่ โดยไม่มีทางตีความเป็นอย่างอื่นได้เลย
คนบางพวกอ้างว่าหลักกฎหมายจะใช้บังคับย้อนหลังไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องเลอะเทอะ เพราะนั่นเป็นหลักกฎหมายอาญา ที่มีหลักว่าบุคคลจะรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำการที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด และกฎหมายที่จะใช้บังคับต้องเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดนั้น
ถ้ามีกฎหมายภายหลังออกมาเป็นโทษ กฎหมายนั้นจะใช้บังคับกับการกระทำก่อนหน้านั้นไม่ได้ แต่ถ้ากฎหมายที่ออกมาภายหลังเป็นคุณก็ให้ใช้กฎหมายที่ออกมาในภายหลังนั้นได้ นั่นเป็นเรื่องของกฎหมายอาญา ไม่ใช่เรื่องของหลักรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด
บางพวกก็อ้างว่ามีหลักนิติธรรมว่าจะออกกฎหมายย้อนหลังให้เป็นโทษแก่บุคคลไม่ได้ นี่ก็เลอะเทอะเหมือนกัน เพราะไม่มีหลักนิติธรรมในเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นหลักกฎหมายอาญา และกรณีเป็นเรื่องของกฎหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญที่บัญญัติอย่างไรก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น
จะแถอะไรก็แถกันไป แต่ถ้าถึงขนาดแถชนิดตีความฉีกรัฐธรรมนูญกันแล้ว ก็ฉีกรัฐธรรมนูญไปเสียเลยจะดีกว่า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี