นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตอบคำถามปมควบรวม กิจการระหว่าง True กับ DTAC
บอกว่า เขารวมกันเพื่อจะแข่งกับเอไอเอสต่อไป แต่ไม่วายฉวยโอกาสบิดเบือนประเด็นเกี่ยวกับการกระทำผิดของตนเอง (ตอนนี้ยังหนีโทษจำคุก หนีหมายจับคดีทุจริตประพฤติมิชอบหลายคดี)
โดยอ้างว่า “ถ้ามีชื่อทักษิณนะ เขาเอาตายเลย” ลากโยงไปถึงสมัยที่ตนเองขายหุ้นชินคอร์ปฯ แล้วถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถูกตรวจสอบ ถูกดำเนินคดี พยายามจะให้คนเข้าใจสับสนว่า สิ่งที่ทักษิณทำนั้น ไม่ต่างกับดีลระหว่างทรูกับดีแทค แต่ถูกเลือกปฏิบัติ ถูกกลั่นแกล้งเล่นงาน เพียงเพราะมีชื่อทักษิณเข้าไปเอี่ยว!?!
ความจริงคืออะไร?
1. ดีลระหว่าง True กับ DTAC คงต้องรายงานข้อเท็จจริงและถูกตรวจสอบกำกับดูแลโดย กสทช.
ต่อไป มิให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค และกำกับให้มีการแข่งขัน ซึ่งคู่แข่งสำคัญก็คือเอไอเอส เจ้าใหญ่
แต่ดีลนี้ จะเอาไปเทียบกับการหุ้นชินฯ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ แล้วถูกดำเนินคดีไม่ได้เลย เพราะเหตุที่ทักษิณถูกดำเนินคดี ไม่ใช่เพราะขายหุ้นชินฯ แต่เป็นเพราะทักษิณเป็นนายกฯที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน อาศัยอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ตนเองโดยมิชอบ และซุกหุ้นของตนไว้ในชื่อคนอื่น อำพรางความเป็นเจ้าของแท้จริง เมื่อราคาหุ้นสูงขึ้นแล้ว ก่อนจะขายหุ้น ยังอาศัยอำนาจรัฐแก้กฎหมายโทรคมนาคม เพื่อเปิดทางให้ตนเองขายหุ้นลอตใหญ่ได้ทั้งหมด โดยขายเพียง 2 วัน หลังกฎหมายผ่านสภามีผลใช้บังคับ แถมยังซิกแซกโอนหุ้นจาก
แอมเพิลริชมาอยู่ในชื่อลูกๆ ก่อนจะขายต่อเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
2. ในปี 2544 ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกฯ โดยยังเป็นเจ้าของหุ้นชินฯ ซึ่งเป็นเจ้าของเอไอเอส ชินแซท ไอทีวี แต่อำพรางการถือครองไว้ในชื่อคนอื่น
3. เข้ามามีอำนาจรัฐไม่กี่เดือน ปรากฏว่า รัฐวิสาหกิจ ทศท. ทำการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาสัมปทานมือถือโดยมิชอบลดค่าส่วนแบ่งรายได้ให้บริษัทเอไอเอส มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544 จนสิ้นสุดอายุสัญญาวันที่ 30 กันยายน 2558
ตามสัญญาสัมปทานเดิม กำหนดให้ AIS ต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้พรีเพด 25% แก่ ทศท. ในปี 2544 อันเป็นปีที่ 11 ของสัญญาสัมปทาน และจะเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันไดในช่วงปีที่ 16 เป็นอัตรา 30% ไปจนสิ้นสัญญาสัมปทาน ซึ่งในปีท้ายๆ ยอดรายได้ก็จะยิ่งก้อนโตตามมูลค่าการใช้มือถือ เงินส่วนแบ่งที่ ทศท.จะได้รับก็ยิ่งจะมากขึ้นตามไปด้วยเป็นทวีคูณ
การแก้สัญญาสัมปทาน ช่วยให้บริษัทมือถือของอดีตนายกฯ ทักษิณ ได้จ่ายคงที่แค่ 20% และไม่ต้องขยับเพิ่มขึ้นเป็น 30% ในช่วงปีท้ายๆ ของสัญญาสัมปทาน
ส่วนแบ่งรายได้ที่ ทศท.สูญเสียไปจากการนี้ มูลค่ากว่า 66,000 ล้านบาท
ลองคิดดูว่า เงินมูลค่าเกือบ 7 หมื่นล้านบาท เมื่อ 20 ปีที่แล้ว มันมหาศาลขนาดไหน เพราะสมัยนั้น ทองคำแค่บาทละไม่ถึงหมื่น นั่นก็คือมูลค่าผลประโยชน์มหาศาลที่เกิดจากการทำผิดกฎหมาย
น่าสงสัยว่า ถ้านายกฯ ขณะนั้นไม่ได้ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นเจ้าของเอไอเอส ทศท.จะบังอาจประเคนผลประโยชน์มหาศาล หรือไม่
ทักษิณนั่งเป็นนายกฯ นอกจากจะไม่แก้ไขปกป้องผลประโยชน์แผ่นดินเรื่องนี้ ยังปล่อยให้เกิดกรณีลักษณะนี้อีกมากมายหลายกรณี ทั้งกิจการดาวเทียม โทรคมนาคม ตลอดยุคสมัยที่ครองอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เมื่อเร็วๆ นี้ ศาลฎีกาจึงมีคำพิพากษาจำคุก6 ปี นายสุธรรม มลิลา อดีต ผอ.ทศท. และให้ชดใช้เงินกว่าสี่หมื่นหกพันล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย
4. การแก้สัมปทานดาวเทียมในยุคทักษิณ ช่วยให้ทักษิณได้ผลประโยชน์โดยมิชอบ
ในยุครัฐบาลทักษิณ แต่งตั้งให้หมอเลี้ยบเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
แก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) โดยมิชอบ เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่า 51% เป็นไม่น้อยกว่า 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
มีผลช่วยให้ชินคอร์ปไม่ต้องระดมทุน หรือกู้ยืมเงินมาซื้อหุ้น เพื่อรักษาสัดส่วน 51% ของตนเอง ประหยัดเงินลงทุนเพิ่มไป นับพันล้านบาท
ศาลฎีกาชี้ชัดว่า เป็นเรื่องที่นายกฯขณะนั้น นายทักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีส่วนได้เสียในการแก้ไขสัญญาเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของตนเอง
รัฐมนตรีไอซีทีขณะนั้น คือ นพ.สุรพงษ์ ดำเนินการแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียม โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีขณะนั้น เคยแจ้ง นพ.สุรพงษ์ด้วยซ้ำว่า อดีตนายกฯทักษิณเป็นคู่สัญญาสัมปทานดาวเทียมกับรัฐ ไม่ควรเสนอเข้ามาครม.ซึ่งมีนายทักษิณเป็นประธาน แต่สุดท้ายแทนที่ นพ.สุรพงษ์จะยุติเรื่อง สำนึกยำเกรงต่อกฎหมายและหลักธรรมาภิบาล กลับอนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานเอง ลงนามแก้ไขสัญญาสัมปทานเอง เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2547
สุดท้าย ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อม.66/2558 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2559 องค์คณะศาลฎีกาฯ ทั้ง 9 ท่าน เสียงเอกฉันท์ ชี้ขาดว่า นพ.สุรพงษ์ มีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 พิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา (รับโทษเรียบร้อยแล้ว)
นอกจากนี้ ศาลยังพิพากษาลงโทษข้าราชการประจำ นายไกรสร พรสุธี อดีตปลัดกระทรวงไอซีที และนายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ จำคุก 1 ปี แต่ให้รอลงอาญา
ล่าสุด นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เข้าไปเป็น ผอ.พรรคเพื่อไทย พร้อมๆ กับที่ลูกสาวนายทักษิณเข้าไปเป็นประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วม พรรคเพื่อไทย
5. กรณีดาวเทียมสำรองไทยคม และไอพีสตาร์
ปี 2545 ทักษิณเป็นนายกฯ บริษัทชินฯ เลื่อนกำหนดการจัดส่งดาวเทียมสำรองของไทยคม 3 หลายครั้ง
และได้ขอแก้ข้อกำหนดทางเทคนิค เปลี่ยนคุณสมบัติของดาวเทียมสำรอง ให้เป็นดาวเทียมไอพีสตาร์ ซึ่งเป็นดาวเทียมบอร์ดแบรนด์ คนละแบบกับดาวเทียมไทยคม 3
ขณะนั้น กรมไปรษณีย์โทรเลขเคยตีความว่า ดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมหลักดวงใหม่ ไม่ใช่ดาวเทียมสำรอง และนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการประสานงานโครงการดาวเทียมสื่อสารในประเทศ โดยที่ประชุมก็เห็นตามกรมไปรษณีย์ฯ แต่ด้วยอำนาจระบอบทักษิณ ผ่านไปเดือนเดียว คณะกรรมการประสานงานฯ ก็กลับมติตัวเอง
18 กันยายน 2545 บริษัทชินฯ ทำหนังสือขออนุมัติโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ ไปยังนายวันมูหะมัดนอร์
มะทา บุคคลที่ทักษิณให้มานั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
คุณวันนอร์เซ็นอนุมัติโครงการในวันที่ 24 กันยายน 2545 ทั้งๆ ที่ ขณะนั้น ยังไม่มีการรับรองรายงานการประชุมคณะกรรมการประสานงานฯ ที่มีการกลับมติเดิมด้วยซ้ำ พฤติการณ์นี้ ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า เป็นการกระทำที่เป็นการลัดขั้นตอนในการปฏิบัติราชการ ในลักษณะรวบรัด และรีบเร่ง เป็นการกระทำที่ผิดปกติวิสัย
ดาวเทียมไอพีสตาร์ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรของไทย เมื่อเดือนสิงหาคม 2548
ศาลฎีกาฯ พิพากษาคดียึดทรัพย์ทักษิณ ชี้ชัดว่า ไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมนอกสัญญาสัมปทาน เป็นดาวเทียมหลักดวงใหม่ ไม่ใช่ดาวเทียมสำรองของไทยคม 3 และเห็นว่า ไอพีสตาร์เป็นโครงการใหม่ อยู่นอกกรอบสัญญาสัมปทาน “ดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ” เดิม
ล่าสุด รัฐบาลปัจจุบันได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเพื่อสะสางปมปัญหาเหล่านี้
6. ข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างกรณีอาศัยอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ตนเอง อันเป็นเหตุให้ศาลฎีกาฯ พิพากษายึดทรัพย์ทักษิณในคดีร่ำรวยผิดปกติ 4.6 หมื่นล้านบาท
จะเห็นได้ว่า คนละเรื่อง คนละประเด็นกับกรณีดีลทรูกับดีแทค
แต่อดีตนายกฯ ทักษิณกลับพยายามบิดเบือน ทำให้เกิดความสับสน เพื่อผลประโยชน์บางประการ
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี